เศรษฐกิจโลก หลายโค้งหลายตลบ แต่ไทยต้องคิดใหญ่ให้เป็น
ผมไม่ได้มีโอกาสเขียนบทความมาสองสัปดาห์ เพราะต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจเกี่ยวกับความผันผวนของภาคการเงินโลกอย่างมาก เพราะมีเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นมากมาย ในภาพใหญ่แสดงให้เห็นชัดว่า สถานการณ์เงินเฟ้อโลกคงยังจะไม่ชะลอตัวลงเร็ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งสหรัฐอเมริกา ตัวเลขล่าสุดของเดือนตุลาคม ยังสูงกว่าคาดการณ์อยู่
อัตราเงินเฟ้อในยุโรป ไม่ว่าเยอรมัน หรืออังกฤษ ก็ยังปรับตัวสูงขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งรัฐบาลอังกฤษออกมาอัดฉีดมาตรการการคลังกระตุ้นการบริโภค และเพิ่มภาษีอสังหาริมทรัพย์บ้านหลังที่สอง สนับสนุนให้คนมีบ้าน ก็ทำให้คาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้อปีหน้าอาจจะปรับตัวลดลงช้ากว่าคาด
การเลือกตั้งของสหรัฐในอีกไม่กี่วันนี้ ก็เป็นตัวสร้างความกังวลว่าหากอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ชนะการเลือกตั้ง (เนื่องจากเชื่อว่ามีคะแนนนำในหลายรัฐที่คะแนนเสียงก่ำกึ่ง) ก็จะทำให้เงินเฟ้อทั่วไปของสหรัฐกลับมาเพิ่มขึ้นอีก
เนื่องจากนโยบายมาตรการการกีดกันการค้าโดยเฉพาะกับประเทศจีน ทำให้ธนาคารกลางของสหรัฐคงจะชะลอเรื่องการพูดถึงทิศทางการลดอัตราดอกเบี้ยลงออกไปก่อน
นอกจากนั้นผลการเลือกตั้งของญี่ปุ่นที่พรรครัฐบาลสูญเสียคะแนนเสียงข้างมาก ทำให้ขณะนี้การตั้งรัฐบาลใหม่ยังคงไม่ได้ข้อยุติ หากต้องมีการเปลี่ยนขั้วกันจริงๆ พรรคฝ่ายค้านเดิม ซึ่งโปรเรื่องของการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลาย ก็จะทำให้ธนาคารกลางไม่อาจดำเนินนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เหมือนเดิม
ธนาคารกลางญี่ปุ่นก็เลือกที่จะรอดูท่าทีเหมือนธนาคารกลางสหรัฐ เหมือนธนาคารกลางอังกฤษ ทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยถูกแขวนรอดูสถานการณ์ หลังจากก่อนหน้านี้ทุกคนในฝั่งตะวันตกประสานเสียงไปในแนวเดียวกัน ทิศทางการขึ้นดอกเบี้ยญี่ปุ่นหนึ่งเดียวของโลกก็รอดูสถานการณ์เหมือนกัน
การออกมากระตุ้นเศรษฐกิจจีนครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์ แม้ว่าได้รับการตอบรับอย่างดีจากนักลงทุนในช่วงแรกและแผ่วลงอย่างเร็วเนื่องจากมาตรการที่ออกตามมาอีกสองสามครั้ง ไม่สามารถทำให้นักลงทุนเชื่อมั่นได้ว่าจะพอเพียงในการฟื้นฟูภาคอสังหาริมทรัพย์ และการบริโภคภายในได้
จึงทำให้รัฐบาลกลางของจีนมีแนวทางจะใช้นโยบายการคลังในการเพิ่มการขาดดุลงบประมาณอย่างมหาศาล ถึงขนาดมากกว่า 4 ล้านล้านหยวน ก็ยังต้องเลื่อนการประชุมสมัชชาแห่งชาติออกไปหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เพราะอยากจะแน่ใจว่าใครจะมา และนโยบายการกีดกันการค้าที่กังวลของทรัมป์ จะมาจริงไหม
ถ้าเป็นแฮริส รัฐบาลจีนอาจปรับเปลี่ยนรายละเอียดในการให้ความสำคัญบางจุดออกไป แต่ยังไงก็ตามรัฐบาลจีนก็คงจะออกมาตรการกระตุ้นแห่งชาติออกมาแน่นอนหลังจากการเลือกตั้งของสหรัฐ การกระตุ้นครั้งใหญ่ของจีนมาแน่ เพราะถ้าไม่ทำ เศรษฐกิจจีนจะชะลอเข้าขั้นลำบาก และเกิดวิกฤตในอนาคตแน่นอน
ภาพรวมของเงินเฟ้อฝั่งตะวันตกลงช้ากว่าคาด ญี่ปุ่นเงินเฟ้อก็ยังเพิ่มขึ้นช้าๆ แต่ฝั่งตะวันออกเช่นจีนมีความกังวลเรื่องเงินฝืด จะต้องอัดฉีดต่อไป ถ้าพิจารณาเรื่องผลตอบแทนทางการเงิน ผมจึงเชื่อว่าทิศทางเงินจะยังคงไหลไปทางฝั่งตะวันตกมากกว่าฝั่งเอเชียอยู่ดี
ในขณะที่ภาคเศรษฐกิจทันสมัย ผลประกอบการของธุรกิจชิป และเซมิคอนดักเตอร์ ตลอดจน AI เริ่มมีหลายธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่ผลประกอบการล่าสุดเริ่มชะลอตัว ความต้องการสินค้าทันสมัยลดลงทุกอย่าง รวมถึงโทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ Data Center ก็ไม่ได้มีการขยับลงทุนมากมาย การคาดการณ์แนวโน้มการใช้น้ำมันในอนาคตยังคงลดลง
ราคาน้ำมันหากไม่นับรวมความขัดแย้งจากภาวะสงครามก็จะยังคงต่ำอยู่ ไม่มีแนวโน้มว่าราคาพลังงานจะปรับตัวสูงในเร็ววัน การแข่งขันของรถยนต์ EV ทั่วโลกยังคงรุนแรงอย่างมาก ทั้งจากปัจจัยภายในที่มีผู้ประกอบการจำนวนมาก และจากการกีดกันการค้าระหว่างประเทศ โดยเฉพาะจากสหรัฐและยุโรป
แนวโน้มทั้งหมดยังไปตรงกันว่า เศรษฐกิจโลกทั่วไป ต้องการกระตุ้นจากธนาคารกลาง ประเทศไทยก็ได้ลดดอกเบี้ยลงแล้วครั้งหนึ่ง แต่เกือบทุกแห่งกำลังรอดูท่าทีของฝั่งการเมือง แม้ว่าธนาคารกลางของญี่ปุ่นจะเป็นธนาคารเดียวที่จะเริ่มลดนโยบายการเงินผ่อนคลาย เพราะวัฏจักรเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวทีหลังประเทศอื่นๆ แต่ด้วยการฟื้นตัวก็ยากและช้า และหนี้สาธารณะที่มาก จึงจะยังคงมีภาพดอกเบี้ยต่ำอยู่ดีเมื่อเทียบกับฝั่งตะวันตก
หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ผมเชื่อว่าธนาคารกลางสหรัฐคงจะลดดอกเบี้ยช้าลง ปัญหายูเครนก็อาจจบลงได้เร็วขึ้น เงินเฟ้อในยุโรปอาจปรับตัวลดลงเร็วขึ้น กระแสเงินระยะสั้นก็อาจกลับไปที่สหรัฐมากขึ้น ดอลล่าร์ก็คงจะแข็งค่าขึ้นไปอีก อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกก็คงจะลดช้าลง
แต่ในทางกลับกัน หากแฮริสชนะ ทุกอย่างก็คงจะกลับตรงกันข้ามในระยะสั้นๆ ธนาคารกลางทั่วโลกก็คงจะกำหนดนโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างไรที่เหมาะกับภูมิรัฐศาสตร์ของตนเอง เพราะไม่ว่าใครมาเป็น ความขัดแย้งตามภูมิรัฐศาสตร์หลักๆก็จะยังคงมีต่อไป ไม่เปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะกับจีน และตะวันออกกลาง เพียงแต่การใช้นโยบายการเงินอาจต้องผ่อนคลายลงมาก ถ้าเงินเฟ้อสหรัฐอ่อนตัวลงได้มาก เพื่อคงตำแหน่งการแข่งขันจากความสัมพัทธ์ของอัตราแลกเปลี่ยน
ทุกประเทศใหญ่ๆ เน้นการออกนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของตนเอง หรือปกป้องเศรษฐกิจภายในของตนเองทั้งนั้น แต่พอหันมาดูบ้านเรา ประเทศไทยมีนโยบายในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในน้อยมาก ถ้านับถึงขณะนี้ มีแค่การแจกเงินกลุ่มเปราะบางเท่านั้น ซึ่งถูกหักล้างจากผลกระทบเรื่องปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือและอีกหลายจังหวัด เรียกว่าประมาณหนึ่งในสามของทั้งประเทศ
แต่นโยบายเรื่องอื่นๆ ก็มีประปรายเช่นการกระตุ้นการท่องเที่ยวตามรูปแบบคนละครึ่ง เรื่องอื่นๆไม่มี มีแค่การกล่าวถึงหรืออ้างถึงว่าจะศึกษา เช่นการจัดทำเอนเตอร์เทนเมน คอมเพล็กซ์ การศึกษาเรื่องการสร้างสะพานบกเชื่อมสองชายฝั่งทะเล หรือแม้กระทั่งการสร้างถนนเลียบชายฝั่งอันดามัน เรื่องเก่าๆทั้งนั้นที่เคยกล่าวมาเป็นสิบปี แล้วไม่เคยทำได้ หรือผ่านการวิเคราะห์ว่าคุ้มค่าจริง ไม่มีอะไรใหม่
แต่ทั้งนี้ก็ไม่ใช่เรื่องจะสามารถเห็นผลได้ในปีสองปีนี้ ในขณะที่ประเทศอื่นๆในภูมิภาคเดียวกันนี้ เติบโตแซงหน้าประเทศเราไปหมดแล้ว รวมถึงกัมพูชา ไม่นับประเทศลาวที่มีวิกฤตเศรษฐกิจ และพม่าที่มีปัญหาการเมืองภายในประเทศ
ประเทศไทยอยู่รั้งท้ายเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่สามารถสู้ได้แม้ประเทศที่เคยโตช้า ติดกับดักการเติบโตอย่างฟิลิปปินส์ หรือประเทศที่อิ่มตัวเคยโตได้แบบอ่อนๆ ก็กลับมาโต 4-5 % เช่นสิงคโปร์ เราโตได้เพียงแค่ 2% มาหลายปีแล้ว เพราะมัวเสียเวลาในการแย่งกันจัดตั้งรัฐบาล เพราะมัวเสียเวลาหาวิธีการดำเนินการต่อโครงการที่เคยหาเสียไว้ ที่เรียกว่าเป็น Flag Ship ของรัฐบาลอย่าง ดิจิทัลวอลเล็ต ที่วันนี้ไม่ใช่ดิจิทัลอีกต่อไป
ในขณะที่กลุ่มธุรกิจการเงินและพลังงานยังคงรายงานผลกำไรเติบโตอย่างมหาศาลอยู่ แต่ประเทศขับเคลื่อนอะไรไม่ได้เลย และเก็บภาษีไม่ได้ด้วย ต้องขยายเพดานหนี้สาธารณะออกไปต่อไป ทำไมเราไม่เลียนแบบอังกฤษ คือไปริเริ่มการจัดเก็บภาษี Windfall Taxes กับธุรกิจที่มีกำไรมหาศาลที่ได้ประโยชน์จากการอาศัยทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ รวมถึงภาษีบาปอื่นๆ และดำเนินการปกป้องธุรกิจในประเทศ ที่ได้รับผลกระทบจากการค้าโลกโดยเฉพาะจากจีน
ผมเชื่อว่า ปัญหาไม่ใช่รัฐบาลไม่ตั้งใจจะพยายามพลิกฟื้นเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลไม่สามารถตั้งและใช้งบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะรัฐบาลต้องอาศัยความสมยอมกับหลายภาคส่วนทางการเมืองในการตั้งรัฐบาลสำเร็จมาได้ มีพรรคการเมืองร่วมจัดตั้งรัฐบาลมากเกินไป เพราะกลัวอยู่ไม่ได้ จึงต้องคงกรอบการจัดสรรงบประมาณในแบบเดิมๆ ไม่ใช่ในรูปแบบใหม่
หรือในรูปแบบที่ในอดีตพรรคไทยรักไทยเคยกล่าวไว้ ว่าจะจัดตั้งงบประมาณฐานศูนย์ คือ ไม่จำต้องอิงงบประมาณปีก่อนๆในการจัดตั้งงบประมาณปีนี้ แต่งบประมาณของเรา มีงบผูกพันจำนวนมาก และงบผูกพันก็เป็นงบที่จัดทำโครงการที่ล้วนแล้วแต่ผูกโยงกับฐานธุรกิจของผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจการเมืองในประเทศ ที่บางคนก็อาจเป็นเครื่องมือหรือเป็นตัวกลางในการจัดสรรทรัพยากรทางการเมืองอีกด้วย
หากเราไม่รื้อกระบวนการจัดสรรงบประมาณให้มีเงินมากระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้จริงๆ จังๆ เช่นการทำนโยบายการสร้างเมือง สร้างระบบนิเวศวิทยาที่ดีให้กับประเทศ โอบอุ้มกลุ่มธุรกิจที่เป็นของคนจำนวนมาก เหมือนอย่างจีน และสหรัฐเขาทำกัน
เห็นไหมครับว่าสหรัฐเขาปกป้องอุตสาหกรรมรถยนต์เขาขนาดไหน ขนาดบริษัทรถยนต์บางแห่งไม่มีศักยภาพเลย เขาก็ยังไม่ยอมปล่อยให้ล้มละลาย
เห็นไหมครับว่าจีนเขาแจกเงินให้คนซื้อรถยนต์ไฟฟ้าได้ในราคาถูกมากขนาดไหน เพื่อโอบอุ้มอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศในภาวะที่เจอสงครามการค้ากับสหรัฐและยุโรป
เห็นไหมครับว่าเขาส่งเสริมอุตสาหกรรมวิจัยและพัฒนาขนาดไหนเพื่อให้ Huawei คงความยิ่งใหญ่ในการพัฒนาแข่งขัน Nvidia หรือ AMD แต่ประเทศไทยคิดจุ๋มจิ่ม ทำ Soft Power คิดขายสินค้าท้องถิ่นแต่งสวย ไปขึ้นห้าง แล้วจะต้องทำมากมายขนาดไหน ถึงจะพอกินพอใช้ ให้ประเทศกลับมาเติบโต 5% ใครจะกล่าวถึงประเทศไทย นอกจากการท่องเที่ยวที่มีทิวทัศน์สวยงาม
วิธีคิดมันก็ผิดแล้วครับ จะฟื้นเศรษฐกิจต้องกล้าคิด กล้าทำ กล้าคิดใหญ่ กล้าทำ
เรื่องของการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลาง มันจะเป็นธรรมชาติของตัวมันอยู่แล้วครับ ถ้าธนาคารแห่งประเทศไทย จะดื้อไม่ลดดอกเบี้ยในขณะที่ธนาคารกลางยักษ์ใหญ่เขาลดกันโครมๆ ผมเชื่อว่า เงินบาทก็จะแข็งโป๊กผิดค่าสัมพัทธ์ เงินทุนสำรองของธนาคารแห่งประเทศไทยก็จะมีปัญหาเองในที่สุด เพราะจะขาดทุนจากดอลล่าร์ที่ถืออ่อนตัวลงเมื่อเทียบกับเงินบาทมากมาย ฝ่ายออกบัตรของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็จะขาดทุนมากมาย ผู้ว่าการธปท.ก็จะมีปัญหาเองด้วยกลไกของเขา กกร. ก็จะต้องออกไปกดดัน ธปท.เองโดยตรง ไม่ต้องมีฝ่ายการเมืองไปเครียดอะไรเกินเบอร์ขนาดนั้นครับ
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567