"โดนัลด์ ทรัมป์" มาพร้อมสงครามการค้า
การที่โดนัลด์ ทรัมป์ กลับเข้าทำเนียบขาวรอบที่สอง เชื่อว่าจะต้องทำการปรับเปลี่ยนการจัดองค์กรภายในและกิจการต่างประเทศ สถานการณ์และเหตุการณ์ที่ไม่แน่นอน ย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศทั่วโลก สังคมมั่นใจว่าทรัมป์ต้องใช้ชั้นเชิงยุทธศาสตร์แบบเดิมคือ "สงครามการค้า" เพื่อหวังสกัดความเจริญรุ่งเรืองของประเทศจีน ตลอดจนกดดันให้ประเทศต่างๆ ในโลกสละผลประโยชน์แก่สหรัฐ ส่วนการที่จะรับมืออย่างไรนั้น ไม่ว่าประเทศจีน ไม่ว่ายุโรป ล้วนมีประสบการณ์เพียงพอที่จะรับความท้าทายกับเหตุการณ์อันอาจเกิดขึ้น อีกทั้งเพียบพร้อมด้วยยุทธวิธีในการตอบโต้เป้าหมายทางเศรษฐกิจของทรัมป์
และยังมีปัญหาความขัดแย้งภายในประเทศ เอาจริงเข้าคงต้องเดินเหยียบเท้าตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สงครามการค้า แรงกดดันยิ่งมากยิ่งเป็นอุปสรรคมาก กรณีละม้ายกับการตบลูกบอล แรงตบยิ่งมาก ลูกบอลกระดอนยิ่งสูง สมัยที่สองของทรัมป์ต่างกับสมัยที่หนึ่ง นึกจะไปสุดซอยก็ต้องไปให้ได้ เห็นลมก็ต้องเห็นฝน วันนี้เวลา สถานการณ์ และเหตุการณ์แปรเปลี่ยน ทุกอย่างก็ได้เปลี่ยนตามไปด้วย
เลือกตั้งสหรัฐส่งผลกระทบทั่วโลก แม้พันธมิตรจำนวนไม่น้อยให้กำลังใจแก่คามาลา แฮร์ริส ประสงค์ให้เธอได้รับชัยชนะ แต่ก็ไม่ชนะ จึงเป็นเวรกรรมของสังคมโลกที่จะต้องเจอกับคนอย่างทรัมป์เป็นรอบที่สอง
เมื่อทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง เขาจะจัดการอย่างไรกับสงครามยูเครนและสงครามตะวันออกกลาง เป็นเรื่องที่สังคมสนใจและเฝ้าติดตามด้วยความระทึก
เมื่อตอนหาเสียง ทรัมป์ตำหนิไบเดนใช้เงินจำนวนมหาศาลช่วยเหลือยูเครนในการทำศึก จึงให้คำมั่นแก่ผู้ลงคะแนนว่า ถ้าเขาได้รับเลือก สงครามยูเครน-รัสเซียจะต้องยุติภายในระยะเวลาอันสั้น เขาพูดเราฟัง และจะเชื่อก็ต่อเมื่อเขาทำจริง ส่วนตะวันออกกลาง แม้ทรัมป์ก็ได้กล่าวถึงเรื่องหยุดยิง แต่ประเด็นมีอยู่ว่า ความใกล้ชิดอิสราเอลและต่อต้านอิหร่านของทรัมป์ยังมากกว่าไบเดน คำพูดกับความเป็นจริงยังไม่สอดคล้องกัน
สำหรับปักกิ่ง ทรัมป์เปิดสงครามการค้ากับจีนเมื่อปี 2018 โดยใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเป็นจำนวนนับแสนล้านดอลลาร์ ต่อมาเมื่อไบเดนเข้ารับตำแหน่งก็ยังเก็บภาษีนำเข้าเหมือนเดิมไม่แปรเปลี่ยน
ในขณะที่ทรัมป์กลับเข้ามาอีกวาระหนึ่ง จึงมั่นใจว่ามาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน คงต้องเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม เพราะเป็นเป้าหมายหลักทางเศรษฐกิจของทรัมป์ และทรัมป์ก็เคยขู่ตอนหาเสียงว่าจะเรียกเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนเป็นร้อยละ 60
สหรัฐยืนยันมาตรการการค้าเสรีมาโดยตลอด แต่ถ้าการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้น กรณีก็เท่ากับปฏิเสธระบบการค้าเสรีโดยปริยาย
โดนัลด์ ทรัมป์ พรรณนาว่า การเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าเพิ่มขึ้นเป็นมาตรการ “มีแต่ได้” และคำว่า “ภาษีศุลกากร” คือคำศัพท์ที่สวยหรูในพจนานุกรม แต่บรรดานักเศรษฐศาสตร์ไม่เห็นพ้องกับคำกล่าวของทรัมป์ เพราะต้นทุนการขึ้นภาษี ในที่สุดผู้ที่เช็กบิลคืออเมริกันชน
การเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าของทรัมป์ ดูผิวเผินเป็นการป้องกันผลประโยชน์ทางอุตสาหกรรมการผลิตของสหรัฐ หากเป็นการกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้น อันเป็นการเพิ่มภาระของผู้บริโภคในประเทศ โดยเฉพาะมนุษย์เงินเดือนและผู้ที่มีรายได้ต่ำ จะต้องได้รับความเดือดร้อนกันทั่วหน้า
เป้าหมายทางเศรษฐกิจของทรัมป์เปี่ยมด้วยสีสันประชานิยม เพราะเกิดความขัดแย้งกันเอง ประการหนึ่ง เขาไม่เห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ย แต่อีกประการหนึ่ง แผนการลดภาษีและงบค่าใช้จ่าย ล้วนเป็นนโยบายขยายขอบเขตทางการคลังโดยแท้ กรณีเป็นการเพิ่มหนี้สินและปัญหาเงินเฟ้อที่เกิดอยู่แล้วให้รุนแรงมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ อีกทั้งเป็นอุปสรรคต่อนโยบายการลดดอกเบี้ย
ถ้าทรัมป์เรียกเก็บภาษีเพิ่มจากจีน เชื่อว่าความเดือดร้อนสหรัฐจะต้องเข้มข้นมากขึ้น หากย้อนกลับไปสมัยแรกของทรัมป์ เขาเปิดสงครามการค้ากับจีนและยุโรป แต่ในที่สุดก็ไม่สามารถเอาชนะประเทศจีนได้
อารมณ์ของทรัมป์ขึ้นลงไม่แน่นอน พูดจาหุนหันพลันแล่น เอาดีใส่ตัวเอาชั่วใส่เขา สมัยเรืองอำนาจได้สั่งจับเสาหลักหัวเว่ย “เมิ้ง หว่านโจว” เป็นตัวประกัน คืออุทาหรณ์ แต่จันทร์หอมยิ่งทุบก็ยิ่งหอม หัวเว่ยไม่ล้มกลับยืนเด่นอย่างท้าทาย ท้าทายเพราะเทคโนโลยีชั้นสูงของจีนกำลังอยู่ในขบวนรถด่วนที่วิ่งสู่เส้นทางอันไพศาล
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 12 พฤศจิกายน 2567