สงครามการค้า "สหรัฐ-จีน" จะเปลี่ยนอนาคตเศรษฐกิจโลกอย่างไร?
สงครามการค้า "สหรัฐ-จีน" ระลอกใหม่จ่อปะทุเต็มรูปแบบ เสี่ยงฉุดการเติบโตทั่วโลก สินค้าราคาแพง-การลงทุนสะดุด
หากสงครามการค้าระหว่างสองชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ และจีน ปะทุขึ้นอีกครั้งแบบเต็มรูปแบบ โลกทั้งใบก็อาจต้องเผชิญกับแรงสั่นสะเทือนทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ล่าสุด ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนสูงถึง 125% จุดชนวนความตึงเครียดให้ลุกโชน ขณะที่ทางการจีนตอบโต้ทันควันด้วยการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากรจากเดิม 34% เป็น 84% กับสินค้าจากสหรัฐฯ พร้อมประกาศว่า “จีนจะสู้จนถึงที่สุด” แทนที่จะยอมจำนนต่อแรงกดดันจากวอชิงตัน
สงครามภาษีครั้งนี้อาจดูเหมือนเป็นศึกที่จำกัดอยู่แค่สองประเทศ แต่หากพิจารณาจากขนาดเศรษฐกิจของทั้งคู่ซึ่งรวมกันคิดเป็น 43% ของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ (อ้างอิงจาก IMF) การเผชิญหน้าครั้งนี้มีแนวโน้มจะลากเศรษฐกิจของทั้งโลกให้ชะลอตัวไปด้วย
เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นว่าทรัมป์เคยใช้มาตรการกำแพงภาษีอย่างเข้มข้นมาแล้วในสมัยแรกที่ดำรงตำแหน่ง และแม้ว่าโจ ไบเดน จะขึ้นมาดำรงตำแหน่งต่อ ก็ยังคงรักษามาตรการดังกล่าวไว้ แถมยังเพิ่มข้อจำกัดทางการค้าอีกหลายด้าน ส่งผลให้สัดส่วนสินค้านำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ ลดลงจาก 21% ของการนำเข้าทั้งหมดในปี 2016 เหลือเพียง 13% ในปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ชี้ว่าจีนยังคงหาทางหลบเลี่ยงภาษี โดยเฉพาะการย้ายฐานการประกอบสินค้าบางประเภท เช่น แผงโซลาร์เซลล์ ไปยังประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น มาเลเซีย ไทย กัมพูชา และเวียดนาม ก่อนจะส่งเข้าสหรัฐฯ จากประเทศเหล่านั้น ซึ่งทำให้การขึ้นภาษีในรอบใหม่ของทรัมป์ไม่เพียงกระทบจีนโดยตรงเท่านั้น แต่ยังขยายวงไปถึงประเทศในภูมิภาคนี้ด้วย
สำหรับสินค้าที่แลกเปลี่ยนกันระหว่างสองประเทศนั้น สหรัฐฯ ส่งออกถั่วเหลืองเป็นหลัก ซึ่งจีนใช้เลี้ยงสุกรกว่า 440 ล้านตัว รวมถึงยารักษาโรค เครื่องยนต์อากาศยาน วงจรรวม และน้ำมัน ส่วนสินค้าที่จีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ กลับเน้นไปที่สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์ แบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้า ของเล่น และอุปกรณ์โทรคมนาคม โดยเฉพาะสมาร์ทโฟนที่มีสัดส่วนถึง 9% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่ผลิตโดยจีนให้บริษัทสัญชาติอเมริกันอย่าง Apple
การขึ้นภาษีรอบล่าสุดจึงไม่เพียงกระทบต้นทุนของผู้บริโภคสหรัฐฯ ที่ต้องจ่ายแพงขึ้นอย่างมากเท่านั้น แต่ยังทำให้หุ้นของบริษัทอเมริกันอย่าง Apple ร่วงลงถึง 20% ในช่วงเดือนที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นผลข้างเคียงสำคัญที่กำลังเขย่าวงการเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
ในฝั่งของจีน การขึ้นภาษีตอบโต้ก็จะส่งผลให้ราคาสินค้าจากสหรัฐฯ แพงขึ้นเช่นกัน กระทบต่อผู้บริโภคจีนโดยตรง ทว่า ความขัดแย้งในครั้งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เรื่องภาษีเท่านั้น เพราะทั้งสองประเทศยังมีเครื่องมืออื่นๆ ที่สามารถใช้โจมตีกันผ่านเศรษฐกิจได้
จีนมีบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุตสาหกรรมโลก โดยเฉพาะการกลั่นแร่สำคัญ เช่น ทองแดง ลิเทียม และแรร์เอิร์ธ ซึ่งจำเป็นต่อการผลิตเทคโนโลยีหลายชนิด รวมถึงในอุตสาหกรรมทหาร ล่าสุดจีนได้เริ่มจำกัดการส่งออก "เจอร์เมเนียม" และ "แกลเลียม" ที่ใช้ในอุปกรณ์ตรวจจับความร้อนและเรดาร์ ซึ่งถือเป็นสัญญาณเตือนว่าอาจมีมาตรการที่เข้มข้นตามมาอีก
ในอีกด้านหนึ่ง สหรัฐฯ ก็สามารถยกระดับการควบคุมทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะไมโครชิประดับสูงที่จีนยังไม่สามารถผลิตได้เอง โดยแนวทางนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่ยุคไบเดนและอาจรุนแรงขึ้นในยุคทรัมป์ 2.0
ที่น่าสนใจคือ ที่ปรึกษาการค้าของทรัมป์อย่าง ปีเตอร์ นาวาร์โร ยังเสนอให้สหรัฐฯ กดดันประเทศอื่นๆ เช่น เม็กซิโก กัมพูชา และเวียดนาม ไม่ให้ทำการค้ากับจีน หากยังต้องการสิทธิในการส่งออกเข้าสหรัฐฯ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง จะยิ่งขยายวงของสงครามการค้านี้ให้ลุกลามมากยิ่งขึ้น
ผลกระทบต่อโลกไม่ได้หยุดอยู่แค่ภาคการผลิตหรือการค้า เพราะหากทั้งสหรัฐฯ และจีนเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หรือถึงขั้นถดถอย ก็จะกระทบการเติบโตของเศรษฐกิจโลกโดยรวม ทั้งการลงทุนระหว่างประเทศและความเชื่อมั่นของตลาดก็อาจร่วงตามไปด้วย
อีกหนึ่งประเด็นที่ควรจับตาคือความเป็นไปได้ที่จีนจะระบายสินค้าล้นตลาดไปยังประเทศอื่นๆ แทน เช่น กรณีเหล็ก ที่จีนผลิตในปริมาณมากเกินความต้องการในประเทศโดยมีการอุดหนุนจากรัฐอย่างหนัก หากไม่สามารถส่งเข้าสหรัฐฯ ได้ อาจนำไปสู่การ “เทขาย” หรือ “ดัมพ์” ราคาสินค้าในตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะสร้างความเสียหายต่ออุตสาหกรรมของประเทศคู่ค้าทั่วโลก ล่าสุด กลุ่มล็อบบี้ UK Steel ได้ออกมาเตือนว่าความเสี่ยงนี้อาจทำให้เหล็กจีนทะลักเข้าสหราชอาณาจักร
ในภาพรวม นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่เห็นตรงกันว่า หากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐฯ ปะทุขึ้นอีกครั้งในระดับเต็มรูปแบบ ผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกจะเป็นไปในทิศทางลบอย่างแน่นอน และอาจยืดเยื้อจนกลายเป็นปัญหาระยะยาวในระบบเศรษฐกิจระหว่างประเทศอีกครั้ง
ที่มา ฐานเศรษฐกิจ
วันที่ 10 เมษายน 2568