ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์กับทางแยกสู่ระเบียบโลกใหม่ (ตอน 2): สงครามเทคโนโลยี-สงครามเย็นรูปแบบใหม่
เมื่อเร็วๆนี้ จีนได้เผยแพร่ความสำเร็จของเทคโนโลยี DeepSeek ตามมาด้วยการทวีความ ตึงเครียดของสงครามการค้าที่สหรัฐฯ จัดเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนใหม่สูงถึง 145%
ทางปักกิ่งตอบโต้ขึ้นภาษีสินค้าบางรายการจากสหรัฐฯ สูงถึง 125% และล่าสุดทั้งสองฝ่ายประชุมเจรจากันที่เมืองเจนีวา ตกลงระงับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าชั่วคราว 90 วัน เริ่ม14 พ.ค. 2025 เป็นที่ทราบกันว่าเบื้องหลังสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน คือการแข่งขันเพื่อความเป็นผู้นำเทคโนโลยีของโลก

บทความตอน 2 นี้จะนำเสนอภาพล่าสุดของความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ด้านเทคโนโลยี และประเมินว่าสองขั้วมหาอำนาจฝ่ายใดจะขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีสมัยใหม่
(1)ความสำเร็จของเทคโนโลยี MIC2025 แบบจีน: มีวิสัยทัศน์ แผนงานชัด ลงมือทำ เห็นผลจริง :
เกมการแข่งขันของคู่แข่งเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่ครอบคลุมทั้งการค้า เทคโนโลยี การทหาร และอิทธิพลทางภูมิศาสตร์รัฐศาสตร์ คาดว่าน่าจะเป็นเกมระยะยาว (Long-erm rivalry) ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน เมื่อ 19 พ.ค. 2015 จีนเริ่มต้นแผนระยะยาว "Made in China 2025 (MIC2025)" เป้าหมายเพื่อพัฒนา
และเปลี่ยนแปลงภาคการผลิตของจีนให้เป็นมหาอำนาจการผลิตชั้นนำภายในปี 2049[1] แนวคิดนี้มุ่งเปลี่ยนภาพลักษณ์สินค้าที่ผลิตในจีน จากที่เคยถูกมองว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ ให้เปลี่ยนเป็นสินค้าที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยีล้ำสมัยและมีคุณภาพสูง [2]
มีกลยุทธ์ 3 ขั้นตอน คือ
(1) ทำให้จีนเป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมแข็งแกร่งภายในปี 2025
(2) คุณภาพการผลิตแข่งขันได้เทียบกับประเทศคู่แข่งภายในปี 2035 และ
(3) ยกระดับจีนให้เป็นมหาอำนาจด้านการผลิต (Manufacturing superpower) ภายในปี 2049 มุ่งเป้าใน 10 อุตสาหกรรม ได้แก่ รถยนต์ไฟฟ้า IT โทรคมนาคม AI หุ่นยนต์ขั้นสูง เทคโนโลยีการเกษตร วิศวกรรมอวกาศ วิศวกรรมทางทะเล ชีวการแพทย์ และโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟ มีเป้าหมายย่อย 250 ข้อ[2] [3]
กลยุทธ์นี้เน้นสร้างนวัตกรรมและครอบคลุมการขยายการผลิต การเชื่อมห่วงโซ่อุปทานกับท้องถิ่น และการสร้าง "National Champion" ที่สามารถแข่งขันในระดับโลกได้ด้วย
ตัวอย่างของความสำเร็จที่ปักกิ่งบรรลุได้ในปี 2023 ก่อนปีเป้าหมาย MIC2025 คือ ความสามารถขึ้นเป็นผู้นำเทคโนโลยีหลายด้าน เช่น จีนผลิตรถยนต์ไฟฟ้ากว่า 60% ของโลกจากบริษัท BYD, NIO, และ SAIC บริษัทจีนควบคุมคำสั่งซื้อในอุตสาหกรรมต่อเรือมากกว่า 50% ของคำสั่งซื้อทั่วโลกคิดตามน้ำหนักตัน[3]

จีนเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโดรนโดยบริษัท DJI จากเซินเจิ้นครองส่วนแบ่งตลาดถึงกว่า 70% ของโดรนทั่วโลก[4] และด้าน AI แม้สหรัฐฯ ยังเป็นผู้นำในด้านปริมาณโมเดล AI แต่จีนกำลังลดช่องว่างด้านคุณภาพ (Quality capacity) ได้อย่างรวดเร็ว[5]
ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงความสำเร็จของภาคการผลิตที่ใช้นวัตกรรมของจีนคือ ในปี 2024 จีนยังครองอันดับหนึ่งประเทศที่ยื่นคำขอจดสิทธิบัตรระหว่างประเทศ (PCT) 70,160 รายการคำขอ หรือ 25% จากทั้งหมด 273,900 รายการคำขอ
รองลงมาคือ สหรัฐฯ (54,087) ญี่ปุ่น เกาหลี และเยอรมนี (WIPO, มี.ค. 2025)[6] (รูป 1) ซึ่งทำได้ตามความมุ่งมั่นของจีนตามคำกล่าวในสุนทรพจน์ของสี จิ้นผิง ช่วงเยือนเมืองหูเป่ย 24-28 เม.ย. 2018 ที่ว่า
"การมีสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาของเทคโนโลยีหลักเป็นของตนเองคือ “ประตูแห่งชีวิต” สำหรับการอยู่รอดและการพัฒนาองค์กร ต้องพยายามพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้[7]
(2)สถาบันที่เข้มแข็งและอัตลักษณ์ของจีนคือรากฐานต่อความสำเร็จการพัฒนาเทคโนโลยี MIC2025
ความสำเร็จของนโยบาย MIC2025 ของจีนมาจากปัจจัยหลายด้าน ซึ่งไม่สามารถกล่าวถึง ได้หมดในที่นี้ ในความเห็นผู้เขียนจะนำเสนอ 4 ข้อหลัก คือ
(1) ทรัพยากรมนุษย์ แม้จีนเผชิญกับความท้าทายด้านกำลังคน เช่น สัดส่วนแรงงานของจีนอายุ 24-64 ปีที่จบการศึกษาสูงกว่ามัธยมปลายจะโน้มสูงขึ้น แต่ยังค่อนข้างต่ำเทียบกับค่าเฉลี่ยของยุโรป (18.1 %, rank 45/46 , 2023)[8] และจีนมีอัตราการว่างงานในกลุ่มเยาวชนสูงถึง 21.3% ในปี 2023 [9]
แต่จีนมีจุดแข็งสำคัญคือ
(1.1) จีนมีแรงงานทักษะสูงด้าน STEM จำนวนมาก งานศึกษาสถาบัน CSET แห่งมหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์[10] (รูป 2) พบว่าจำนวนผู้จบการศึกษาปริญญาเอกด้าน STEM ของจีนสูงแซงสหรัฐในปี 2007
โดยในปี 2025 คาดว่าจะมีประมาณ 77,000 คน สูงเกือบสองเท่าของสหรัฐฯ และสูงเกือบสามเท่าเทียบกับเฉพาะนักศึกษาในสหรัฐฯ ในแง่คุณภาพ บัณฑิตจบจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนและที่มีชื่อเสียงระดับนานาชาติมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น
(1.2) ปรากฎการณ์สมองไหลกลับ (Reverse brain drain) งานศึกษาสถาบัน SCCEI ระบุว่ามีกระแสการย้ายถิ่นของนักวิทยาศาสตร์เชื้อสายจีนย้ายจากสหรัฐฯ ไปยังประเทศอื่นรวมถึงจีน สูงถึงเกือบ 20,000 คน ในช่วงปี 2010-2021 โดย 50%-70% ย้ายไปจีนและฮ่องกง[11]
(2)ทางการจีนสนับสนุนเงินทุนขนาดใหญ่ 2.2 ล้านล้านหยวนภายในปี 2017 ผ่านกองทุนของรัฐเกือบ 800 กองทุน เพื่อสนับสนุน R&D และนวัตกรรมอุตสาหกรรม และให้ธนาคารสนับสนุนสินเชื่อแก่ภาคอุตสาหกรรมในกลุ่ม MIC2025 รวมถึงให้สิทธิประโยชน์ภาษี และยังลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านหยวน เพื่อพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูงของจีนเอง[1][12]
(3)โครงสร้างสถาบันที่เข้มแข็ง เช่น การทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาลกลางและท้องถิ่น รัฐบาลท้องถิ่นแปลเป้าหมายระดับชาติเป็นแผนปฏิบัติการ และการสนับสนุน SMEs ที่มีศักยภาพสร้างสรรค์นวัตกรรม หรือ "ยักษ์เล็ก" เป็นตัวขับเคลื่อนนวัตกรรมและปรับตัวได้เร็วในตลาด[12]

และปัจจัยโดดเด่นสุดในความเห็นของผู้เขียนคือ
(4)อัตลักษณ์ของจีน เช่น วัฒนธรรมจีนตามปรัชญาลัทธิขงจื่อในศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะการพัฒนาบุคลากรและการเติบโตด้วยนวัตกรรม ผู้นำที่มีจริยธรรม ความสามัคคีในสังคม และการสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตและความเท่าเทียมกันและการพัฒนาเมืองและชนบท[13]
และชาวจีนยังยึดมั่นตามคำสุภาษิตที่ว่า “天下兴亡,匹夫有责” (tiān xià xīng wáng, pǐ fū yǒu zé) “ความรุ่งเรือง/ล่มสลายของชาติเป็นความรับผิดชอบของทุกคน
(3)สงครามเทคโนโลยี-สงครามเย็นรูปแบบใหม่-Long Game :
ผลการสำรวจเศรษฐกิจจีนปี 2025 โดย MERICS[14] ชี้ว่ามากกว่า 94%, 88% และ 80% ของผู้เชี่ยวชาญด้านจีนในยุโรปที่ตอบแบบสอบถาม เห็นว่ามีแนวโน้มสูงมากและค่อนข้างมากที่สหรัฐฯ จะควบคุมการส่งออกเทคโนโลยีไปยังจีนเข้มข้นขึ้น
สงครามการค้าสหรัฐฯและจีนจะตึงเครียดมากขึ้น และเศรษฐกิจโลกแตกขั้วมากขึ้น ตามลำดับ (รูป 3) รวมถึงสหรัฐฯ ยังกังวลถึงการที่จีนรวบรวมและใช้ประโยชน์จากข้อมูลในระดับสูงที่ไม่มีใครเทียบได้
และความพยายามฟื้นฟูนวัตกรรมในสหรัฐฯ อีกครั้ง ย่อมส่งผลให้สงครามเทคโนโลยีขยายตัวและระยะเวลานานขึ้น[15] รวมทั้งท่าทีตอบโต้จากสถานทูตจีนในสหรัฐฯ โพสต์ข้อความบน X (มี.ค. 2025) ว่า “If war is what the U.S. wants, be it a tariff war, a trade war or any other type of war, we’re ready to fight till the end” [16] น่าจะให้นัยว่าสงครามเทคโนโลยีนี้จะยืดเยื้อแน่นอน
ท้ายสุด การต่อสู้ของจีนครั้งนี้น่าจะเปรียบเทียบได้กับ “ดอกเหมยฮวา” ดอกไม้ที่เป็นตัวแทนของวัฒนธรรมจีน ซึ่งสามารถบานสะพรั่งได้ในท่ามกลางหิมะในฤดูหนาวสะท้อนความเข้มแข็ง ความอดทน และความไม่ย่อท้อของชาวจีนแม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก
Disclaimer: ข้อคิดเห็นที่ปรากฏในบทความนี้เป็นความเห็นของผู้เขียน และการกล่าว คัด หรืออ้างอิงข้อมูลบางส่วนตามสมควรในบทความนี้ จะต้องกระทำโดยถูกต้องและอ้างอิงถึงผู้เขียนโดยชัดแจ้ง
ที่มา กรุงเทพธุรกิจ
วันที่ 4 มิถุนายน 2568