นวัตกรรมไทย โอกาสตาย 95% รอด 5%
หลายต่อหลายเวทีที่สะท้อนถึงปัญหา "ขีดความสามารถในการแข่งขัน" ของไทยว่าจะลดลง อนาคตไทยจะสู้ใครไม่ได้ เพื่อนบ้านกำลังแซงเรา
สะท้อนถึงเวลาแล้วที่ไทยต้องมุ่งพัฒนา เสริมสร้าง “ขีดความสามารถในการแข่งขัน” แต่จะทำอย่างไร ต้องเริ่มจากตรงไหน
คำตอบหนึ่งคือ การส่งเสริมการพัฒนาสินค้า “นวัตกรรม” เพื่อให้ไทยมีอาวุธใหม่ ๆ ไปสู้ในตลาดโลกให้ได้
แต่ทว่าการพัฒนา “นวัตกรรม” ไม่ใช่เรื่องง่าย
จากการพูดคุยกับ “ดร.วรวัฒน์ ชิ้นปิ่นเกลียว” ซีอีโอ บมจ.ไทย โคโคนัท เจ้าของรางวัลนวัตกรรมใหม่ ๆ สด ๆ จากงานแสดงสินค้าอาหารระดับโลก “SIAL2022” ที่ประเทศฝรั่งเศส จากสินค้า “ไข่น้ำแช่แข็ง” หรือ “Fresh Frozen Wolffia”
เล่าถึงการพัฒนานวัตกรรมจนได้รับรางวัลว่าอุปสรรคสำคัญที่ทำให้งานนวัตกรรมของไทยมีน้อย โตช้า เพราะการพัฒนานวัตกรรมเหมือนกับการเลี้ยงลูก เราเลี้ยงลูก 20 ปี กว่าจะเรียนจบมีงานทำเลี้ยงดูตัวเองได้
แต่สำหรับการพัฒนานวัตกรรมนั้นอย่างน้อยต้องใช้เวลา 5 ปี โดยช่วงแรกต้องวิจัยและพัฒนาชิ้นงาน 2 ปี และหลังจากได้นวัตกรรมมาแล้วต้องทำตลาดอีก 3 ปี รวม 5 ปี
ในช่วงเวลา 5 ปีนี้ แน่นอนว่าบริษัทยังไม่มีรายได้เป็นชิ้นเป็นอันจากสินค้านวัตกรรม แต่มี “รายจ่าย” เกิดขึ้นแล้ว และยังพ่วงมาด้วย “ความเสี่ยง” เพราะสินค้านวัตกรรมที่ทำออกมาอาจจะไม่ติดตลาดก็ได้
เขาเล่าว่าเคยคุยกับกลุ่มสตาร์ตอัพในประเทศหลาย ๆ ราย มีสินค้าที่ดีเลย แต่ต้องเจ๊งไป เทียบ ๆ เป็นตัวเลขแล้ว สตาร์ตอัพตายไป 95% มีอัตรารอด 5% ซึ่งเป็นผลจากมีจุดอ่อนด้านการหาตลาด และเงินทุนสนับสนุน หากใครสายป่านยาวก็พอมีเวลาที่จะรอให้สินค้าติดตลาดได้ แต่หากใครสายป่านสั้นก็เสี่ยงมาก โอกาสรอดน้อย
แต่ ดร.วรวุฒิ กล้าที่จะเสี่ยง เพราะมองว่า อนาคตของไทย ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตสินค้าเกษตร หากไม่มีการพัฒนาสินค้านวัตกรรมเราจะเสียเปรียบ ถ้าต้องแข่งขันด้วยสินค้าเกษตรแบบคอมโมดิตี้ ขายยาง ข้าว มัน ก็จะไปตัดราคากันเอง ทำให้ได้รายได้กลับเข้าสู่ประเทศน้อย อีกทั้งโครงสร้างการผลิตของไทยยังเสียเปรียบด้านต้นทุนการผลิต เช่น ค่าไฟแพง ค่าแรงแพง ค่าปุ๋ยค่ายาอีก ดังนั้น สินค้านวัตกรรมจึงเปรียบเสมือนอนาคตของบริษัท และยิ่งไปกว่านั้นยังนับว่าเป็นอนาคตของประเทศไทยอีกด้วย
ในอนาคตผู้ประกอบการไทยรวมถึงไทยโคโคนัท หวังว่าการพัฒนานวัตกรรมจะเกิดจาก 2 ส่วน คือ ตัวบริษัทเองที่ต้องเสริมสร้าง “วัฒนธรรมองค์กร” โดยไทย โคโคนัท เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ได้วางประเด็นการพัฒนานวัตกรรมเป็นเคพีไอของบริษัท หมายความว่าทุก ๆ คนที่เป็นพนักงานจะต้องสร้างนวัตกรรม และมีโอกาสแจ้งเกิด โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัท
ขณะที่อีกด้านหนึ่งการพัฒนานวัตกรรมจะต้องอาศัยแรงสนับสนุนจากภาครัฐ หรือแม้แต่องค์กรขนาดใหญ่ ๆ ที่มีทุนมาก ๆ ยื่นมือเข้ามาช่วยประคับประคองและส่งเสริมให้นวัตกรรมจากหิ้งไปสู่ห้างให้ได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันจากสินค้านวัตกรรมนี้จะย้อนกลับมาช่วยให้บริษัท และประเทศไทยในอนาคตให้เติบโตอย่างยั่งยืนได้
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2566