ภาคธุรกิจวิพากษ์ "ทีมเศรษฐกิจ" ขอพรรคการเมืองเฟ้น "มืออาชีพ"
มีเสียงสะท้อนความเห็นและข้อเสนอแนะจากภาคธุรกิจ หลังจากเกิดการจัดทีมเศรษฐกิจและการประกาศนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองต่างๆ
นายชัยชาญ เจริญสุข ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) มองว่า คิดว่าตอนนี้พรรคการเมืองหลายพรรคมุ่งเป้าไปที่นโยบายเกี่ยวข้องกับประชาชนเป็นส่วนใหญ่ อาทิ นโยบายเรื่องค่าแรงงาน โครงการประกันรายได้สินค้าเกษตรเป็นเรื่องที่ถูกต้อง อย่างน้อยก็ช่วยประชาชนส่วนใหญ่ แต่หลังจากนี้คงต้องรอฟังความชัดเจนนโยบายเรื่องการส่งออก และนโยบายส่งเสริมเศรษฐกิจระหว่างประเทศว่าเป็นอย่างไร ตอนนี้คาดว่าแต่ละพรรคการเมืองน่าจะกำลังเตรียมออกมาตรการเรื่องการส่งเสริมเศรษฐกิจที่ชัดเจนออกมามากขึ้น นโยบายที่อยากเห็นคือเรื่องการส่งเสริมการค้า และดันไทยให้เป็นศูนย์กลาง (ฮับ) ด้านโลจิสติกส์
ส่วนตัวมองว่ารัฐบาลชุดใหม่โดยเฉพาะทีมเศรษฐกิจจะเข้ามาบริหารประเทศ ต้องมีทัศนคติแบบสากล (Global Mindset) เปิดกว้างในเรื่องของธุรกิจระหว่างประเทศ รวมถึงต้องมีการวางกลยุทธ์ระหว่างประเทศ ส่งเสริมไทยในเรื่องของการเพิ่มเขตการค้าเสรีให้มากขึ้น เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านโลจิสติกส์อย่างแท้จริง รัฐบาลชุดปัจจุบันก็มีการขับเคลื่อนเรื่องนี้ ผลงานที่เห็นเป็นรูปธรรมคือเรื่องการค้าระหว่างไทยกับยุโรป (อียู) และไทยกับสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ความสำเร็จดังกล่าวถือว่าเป็นเรื่องถูกต้อง ส่งผลให้มีการขยายตัวของคู่ค้ามากขึ้น อาทิ การขยายเครือข่ายโครงข่ายทางด้านการขนส่ง
เรื่องนี้จึงเป็นอีกเรื่องที่อยากให้รัฐบาลชุดใหม่สานต่อ ทำให้เกิดผลสำเร็จเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้นเพื่อเชื่อมโยงกับประเทศกัมพูชา ลาว สหภาพเมียนมา และเวียดนาม หรือกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวีและในกลุ่มอาเซียน เพราะต่อไปในอนาคตตลาดอาเซียนจะเป็นตลาดหลักของประเทศไทย นอกจากประเทศจีนและสหรัฐอาเซียนยังเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์หลักของไทย รวมถึงอินเดียก็ยังเป็นคู่ค้าหลักและเป็นยุทธศาสตร์ที่สำคัญสำหรับปี 2566 อยู่ แล้วไทยจะต้องเข้าไปขยายการค้าในอินเดียมากขึ้นอีกด้วย เพราะว่าในปี 2565 อินเดียเติบโตด้านการส่งออกประมาณ 5-6% ถือว่าใช้ได้
อย่างไรก็ดี เมื่อได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้ว มี 3 เรื่องหลักอยากให้รัฐบาลเข้ามาแก้ปัญหา ได้แก่ 1.เรื่องการแก้ไขโครงสร้างพลังงานไฟฟ้า เพราะถือว่าเป็นเส้นเลือดใหญ่ของผู้ส่งออก 2.เรื่องราคาค่าน้ำมัน และ 3.นโยบายทางด้านการขยายตลาดต่างประเทศ หรือนโยบายการเพิ่มเขตการค้าเสรี (เอฟทีเอ) และทำต่อเนื่องจากรัฐบาลที่ผ่านมา นอกจากการผลักดันเรื่องไทยกับยูเออีแล้ว หรือไทยกับอียูแล้ว ก็ต้องขยายเขตการค้าไปให้ได้มากกว่านี้
นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานสภาหอการค้าไทย กล่าวว่า สิ่งที่ภาคเอกชนอยากเห็นนโยบายจากพรรคการเมืองเพิ่มเติมคือเรื่องของการดูแลสิ่งแวดล้อมให้กับผู้ประกอบการ โดยเฉพาะกลุ่มผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) เวลาเรามองเรื่องระบบนิเวศต่างๆ ลองนึกภาพว่าประเทศไทยเหมือนตู้ปลาใบใหญ่หนึ่งใบ หากน้ำในนั้นสะอาดโดยการดูแลของรัฐบาล มีอาหาร หรือซัพพอร์ตเรื่องต่างๆ เข้ามา ปลาหรือสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในนั้นสามารถวนเวียนอยู่ได้ ทุกอย่างก็จะมีวงจรถูกต้อง
หลักๆ อยากเห็นรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนไม่ใช่เป็นผู้ออกกฎเพียงอย่างเดียว หรือสนับสนุนให้ประชาชนมีความสามารถในการหาเงินเองได้ เรื่องระยะสั้นต่างๆ อาทิ เรื่องการแจกเงิน เป็นเพียงเรื่องหาเสียงแบบชั่วข้ามวันเฉยๆ แต่ในระยะยาวจริงๆ สิ่งที่อยากเห็นคือการทำให้ประชาชนสามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง มีการพัฒนา ปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงของโลกได้ตลอดเวลา ดังนั้น เราจึงต้องการทีมเศรษฐกิจที่เข้าใจจริงๆ ถึงการเปลี่ยนแปลงของโลก เพราะในยุคปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและเข้มข้นขึ้นมาก
ความขัดแย้งต่างๆ ยังมีอยู่ในโลก ดูเหมือนว่าจะไม่ได้ลดลงแต่กลับมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ฉะนั้น จึงต้องการทีมเศรษฐกิจที่เข้าใจภาพรวมตรงนี้เพื่อที่ไทยยังสามารถค้าขายกับโลกใบนี้ได้โดยไม่ติดขัดเรื่องใดเลย
เมื่อได้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาบริหารประเทศแล้วสิ่งที่อยากให้เร่งปฏิบัติเป็นเรื่องแรกๆ จะเป็นเรื่องของการเสริมความรู้ เครื่องไม้เครื่องมือ หรือเทคโนโลยีต่างๆ หรือเครื่องจักรต่างๆ ให้เข้ามาในระบบ เพื่อก้าวไปสู่การเปลี่ยนผ่านที่ประเทศไทยตอนนี้เริ่มมีปัญหาในเรื่องของแรงงานคน รวมถึงไทยกำลังเข้าสู่ยุคของผู้สูงวัยเต็มที่แล้ว การที่จะมีแรงงานใช้อย่างในอดีตคงเป็นเรื่องยากแล้ว หรือการได้มาของแรงงานต่างด้าวก็เป็นต้นทุนสูงมาก
ดังนั้น ทางออกที่ดีที่สุดคือเราต้องมีเครื่องมือ หรือเทคโนโลยี มาทำงานแทนคนให้มีประสิทธิภาพดีขึ้นและสูงขึ้น เพื่อลดต้นทุนต่างๆ รวมถึงสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ทั่วโลกได้อีกด้วย ประเด็นเหล่านี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ และต้องเร่งพัฒนาเพื่อให้ไทยยังสามารถแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ได้ต่อไป
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย (อีคอนไทย) กล่าวว่า เท่าที่ดูขณะนี้ หลายพรรคมีการตั้งคณะทำงานด้านเศรษฐกิจ แต่ต้องเข้าใจก่อนว่าเศรษฐกิจไทยยังคงเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งพาเศรษฐกิจโลก แต่ขณะนี้เศรษฐกิจโลกกำลังเปราะบาง โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ก็ได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจโลกลดลงแล้ว การส่งออกไทยปี 2565 ขยายตัวเกือบ 6% แต่ปี 2566 นี้อาจจะไม่โตเลยก็ได้ อาจจะศูนย์เลยก็ได้ ภาคเอกชน อาทิ การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อเดือนมีนาคมก็คาดว่าการส่งออกจะอยู่ที่ติดลบ 1.0%
ถ้าเศรษฐกิจโลกไม่ดีของไทยก็ไม่ดีด้วย ไม่มีทางหนีตรงนี้พ้น เศรษฐกิจไทยไม่มีทางดีคนเดียวได้ เพราะเป็นเศรษฐกิจอิงกับต่างชาติสูง ประเด็นกังวลคงเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การส่งออกชะลอตัว ด้านราคาน้ำมันก็ยังคงผันผวน ขณะที่ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ก็ยังมีอยู่ เพราะฉะนั้นรัฐบาลจะมาบริหารจากนี้ไปก็คงอยากได้คนเข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ และการเชื่อมโยงในบริบทโลก การเข้ามาแก้ไขการส่งออก การกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นจะทำอย่างไร นอกจากนี้ ยังมีเรื่องการแก้กฎหมาย ระเบียบราชการล้าสมัย เป็นเสมือนกับดักประเทศ เพราะที่ผ่านมารัฐบาลปัจจุบันก็ไม่ค่อยมีการเข้ามาแก้ไขเท่าไหร่
ในส่วนของความตั้งใจเอกชน ก็อยากได้ทีมเศรษฐกิจที่เป็นคนเศรษฐกิจจริงมีความเป็นมืออาชีพ เข้าใจปัญหา และออกนโยบายออกมาเป็นรูปธรรม ขณะนี้ก็ยังไม่เห็นนโยบายเป็นรูปธรรม ส่วนใหญ่นโยบายหาเสียงเรื่องเศรษฐกิจยังเป็นนโยบายในการใช้เงินเสียมากกว่า
เพราะฉะนั้น นักการเมืองก็ควรจะแสวงหาผู้ที่เป็นตัวจริงในด้านเศรษฐกิจมาเพิ่มมากขึ้น ถ้าดึงนักธุรกิจเคยมีฝีมือมาก็คงจะดี เพราะอย่างที่กล่าวไป โจทย์ด้านเศรษฐกิจต่อไปนี้มีความท้าทายเยอะ ส่วนคำตอบตอนนี้ส่วนตัวก็ยังไม่เห็นมีเศรษฐกิจแบรนด์เนมที่เห็นแล้วรู้สึกว่าคนนี้น่าจะใช่เลย
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 27 มีนาคม 2566