พลิกโฉมอนาคตท่องเที่ยวไทย 7 สมาคมทิ้ง "สภาท่องเที่ยว" ดันวาระใหญ่ผ่านหอการค้าไทย
อุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยที่เคยทำรายได้ถึง 3 ล้านล้านบาท มีสัดส่วน GDP ราว 20% กำลังถูกจับตามองอีกครั้ง เมื่อ 7 สมาคมท่องเที่ยวรายใหญ่ยกแผงลาออกจากการเป็นสมาชิกสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) หรือสภาท่องเที่ยว
ประกอบด้วย สมาคมไทยธุรกิจท่องเที่ยว (ATTA), สมาคมโรงแรมไทย (THA), สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน.), สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA), สมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.), สมาคมมัคคุเทศก์อาชีพแห่งประเทศไทย (PGAT) และสมาคมส่งเสริมธุรกิจท่องเที่ยวไทย (สธทท.)
รวมตัวตั้ง “สมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยว” หรือ FETTA พร้อมจัดแถลงข่าวประกาศภารกิจและเป้าหมายในวันที่ 28 มิถุนายน 2566
แตกซ้ำรอยอดีตในรอบ 15 ปี :
อดีตประธาน สทท.ให้ข้อมูลกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า การประกาศแยกตัวอย่างชัดเจนครั้งนี้ เป็นปรากฏการณ์ซ้ำรอยอดีตเมื่อปี 2551 หรือ 15 ปีที่แล้ว ในยุคสมัยที่มี “กงกฤช หิรัญกิจ” นั่งเป็นประธาน สทท. และมี “วีระศักดิ์ โควสุรัตน์” เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
ครั้งนั้นสมาคมที่ลาออกจากสภาท่องเที่ยวมีจำนวน 6 สมาคม ได้แก่ สมาคมไทยบริการท่องเที่ยว (TTAA), สมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA), สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภายในประเทศ (สทน), สมาคมโรงแรมไทย (THA), สมาคมไทยท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ฯ และสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.)
และตั้งเป็น “สหพันธ์สมาคมท่องเที่ยวไทย” หรือเฟสต้า ทำงานบทบาทในเวทีแสดงความคิดเห็นต่อภาครัฐ ททท. และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ
โดยเหตุผลของการลาออกคือ สภาท่องเที่ยวไม่สามารถเป็นตัวแทนเอกชนภาคธุรกิจการท่องเที่ยวได้อย่างแท้จริง ทำงานเฉพาะกลุ่ม ไม่ดูภาพรวมทั้งอุตสาหกรรม ขาดความร่วมมือกัน ทำให้ไม่สามารถแก้ไขปัญหาในระดับชาติ
มุ่งขับเคลื่อนธุรกิจ-ไม่ขัดแย้ง :
สำหรับการลาออกของ 7 สมาคมท่องเที่ยวรายใหญ่ครั้งนี้ “ดร.อดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์” เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (ATTA) บอกว่า เป็นการทำให้การทำงานระหว่างสมาคมต่าง ๆ มีความเข้มแข็งมากขึ้น ไม่ได้ต้องการสร้างความขัดแย้ง หรือเกิดการแข่งขันระหว่างองค์กร
พร้อมระบุว่า ที่ผ่านมาสมาคมต่าง ๆ ได้ร่วมทำงานกับ สทท. เพื่อขับเคลื่อนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยวมาตลอด แต่ยอมรับว่ามีการสื่อสารภายในระหว่างสมาชิกกันน้อย
รวมไปถึงมองว่าสมาคม ATTA มีบทบาทน้อยกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้แนวคิดอาจไม่ได้ถูกขับเคลื่อนตามแนวทางที่คาดไว้ เช่น มาตรการกระตุ้นตลาดการท่องเที่ยว กองทุนช่วยเหลือผู้ประกอบการ ฯลฯ
“สมาคม ATTA เรามีตัวตน เรามีความสามารถในการขับเคลื่อนนโยบายต่าง ๆ แต่เราเห็นว่ายังไม่ได้รับความสำคัญเท่าที่ควร” ดร.อดิษฐ์ย้ำ
ทั้งนี้ มองว่าการจัดตั้งสมาพันธ์ FETTA นั้นจะช่วยให้สมาชิกได้ประโยชน์ สามารถนำเสนอแนวคิดและผลักดันนโยบายที่มาจากสมาชิกโดยตรงได้ รวมถึงประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้โดยตรง
นอกจากนี้ยังสามารถดำเนินงานในเชิงวิชาการ นำข้อมูลเชิงลึกที่แต่ละสมาคมมีมาต่อยอดได้อีกด้วย
ปัญหารุมเร้าหนักรอต่อไม่ไหว :
สอดรับกับ “ดร.วสุเชษฐ์ โสภณเสถียร” นายกสมาคมผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.) ที่บอกว่า ความเดือดร้อนของสมาชิกในปัจจุบันอยู่ในขั้นรุนแรง ไม่สามารถรอเวลาที่จะได้รับความช่วยเหลืออีกต่อไปได้
ทั้งนี้ เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิดในช่วงที่ผ่านมา ทำให้สมาคม สปข.ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ให้บริการรถโดยสารสาธารณะเพื่อการท่องเที่ยวแบบไม่ประจำทางได้รับความเสียหายมากที่สุดตั้งแต่ก่อตั้งสมาคมมากว่า 15 ปี
โดยปี 2562 ในตลาดมีรถให้บริการทั่วประเทศอยู่กว่า 30,000 คัน ปัจจุบันเหลือรถให้บริการเพียงแค่ 15,000 คัน หายไปครึ่งหนึ่ง ทั้งเลิกกิจการ ถูกธนาคารยึดรถ ฯลฯ
ประกอบกับสมาคมยังไม่เห็นทิศทางที่ทางสภาท่องเที่ยวจะแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรม ทั้ง ๆ ที่ทีมบริหารชุดใหม่ถูกเลือกตั้งให้เข้ามาบริหารได้ 6 เดือนแล้ว
“ตอนนี้ทุกอย่างกำลังฟื้น รัฐบาลใหม่ก็กำลังจะเข้ามา แต่สมาชิก สปข.ยังเดือดร้อนหนัก ไม่สามารถกลับมาประกอบธุรกิจได้ ไม่มีเงินซ่อมบำรุงรถให้เป็นไปตามมาตรฐานความปลอดภัยตามกฎหมาย”
ด้วยเหตุนี้ทำให้ สปข.จึงรอไม่ได้อีกต่อไป ต้องเร่งขยับและนำเสนอประเด็นปัญหาให้รัฐบาลเข้ามาช่วยดูแล เพื่อให้การท่องเที่ยวของไทยเดินหน้าต่อได้ในทุกเซ็กเตอร์
“ทั้ง 7 สมาคมมีความแข็งแรงระดับหนึ่ง การแยกมาขับเคลื่อนเองโดยตรงน่าจะทำให้พวกเราเดินได้เร็วขึ้น”
เชื่อสมาชิกได้ประโยชน์ :
เช่นเดียวกับ “มาริสา สุโกศล หนุนภักดี” นายกสมาคมโรงแรมไทย (THA) ที่ให้สัมภาษณ์ถึงเหตุผลในการลาออกจากสมาชิกสภาท่องเที่ยวว่า ต้องการความคล่องตัวและความอิสระในการทำงานที่มากขึ้น และเชื่อว่าการออกมาขับเคลื่อนเองน่าจะบรรลุเป้าหมายได้มากกว่า ที่สำคัญจะเป็นประโยชน์กับสมาชิกของสมาคมโรงแรมมากกว่า
“สมาคมโรงแรมเป็นสมาคมใหญ่ สมาชิกเป็นผู้ประกอบการที่แอสเซสมีมูลค่าสูง มีการจ้างงานจำนวนมาก ซึ่งก็น่าจะต้องมีบทบาทในสภาท่องเที่ยวและควรที่จะสามารถของบประมาณเพื่อขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้เช่นกัน”
เร่งแก้ “วีซ่ากรุ๊ป-ฟื้นไฟลต์บิน” :
สำหรับนโยบายที่ต้องเร่งผลักดัน เพื่อฟื้นฟูภาคท่องเที่ยวไทยหลังสถานการณ์โควิด-19 นั้น “ดร.อดิษฐ์” ให้ข้อมูลว่า ในส่วนของสมาคม ATTA มี 2 ประเด็นใหญ่คือ 1.เสนอแนวคิดสนับสนุนให้สายการบินกลับมาให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้เดินทางเข้าประเทศมากขึ้น
และ 2.การเร่งแก้ไขปัญหาความไม่สะดวกในการลงทะเบียนวีซ่าแบบกลุ่ม หรือวีซ่ากรุ๊ป ซึ่งต้องหาแนวทางว่าจะทำอย่างที่จะทำให้ผู้ขอวีซ่าจะได้รับวีซ่าที่เร็วขึ้น โดยกำหนดว่าน่าจะมีความคืบหน้าในการแก้ไขปัญหานี้ภายใน 1-2 เดือนหลังจากการตั้งสมาพันธ์
“ช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม เป็นช่วงเวลาที่ประเทศจีนเข้าสู่ช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน และตรงกับช่วงที่ภาคการท่องเที่ยวไทยเข้าสู่โลว์ซีซั่น ซัพพลายไซด์ภาคการท่องเที่ยวต้องการนักท่องเที่ยวจากตลาดจีนมาเข้าเติม”
จัดหากองทุนสนับสนุนการเงิน :
ในส่วนของผู้ประกอบการรถขนส่งทั่วไทย (สปข.) นั้นได้สรุปความเดือดร้อนและสิ่งที่อยากได้รับความช่วยเหลือจากภาครัฐไว้ 6 เรื่อง ได้แก่
1).จัดหากองทุนสนับสนุนการเงิน เพื่อให้ผู้ประกอบการนำไปซ่อมบำรุงรถที่ให้กลับมาให้บริการด้วยมาตรฐานความปลอดภัยตามกฎหมายกำหนด
2).จัดโครงการส่งเสริมการเดินทางด้วยรถทัวร์โดยตรง เนื่องจากที่ผ่านมาต้องผ่านบริษัททัวร์ ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการรถไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างแท้จริง
3).เร่งมาตรการนำนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้าประเทศโดยเร็ว โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่
4).เร่งการเดินทางโดยรถทัวร์ โดยผ่านหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะองค์กรปกครองท้องถิ่นต่าง ๆ เช่น การจัดประชุมสัมมนา การศึกษาดูงาน เป็นต้น
5).ดำเนินการแก้ไขระเบียบสำนักงบประมาณที่ออกเมื่อเดือนเมษายน 2566 เรื่อง ไม่อนุญาตให้จัดจ้างบริษัทที่งบการเงินติดลบในปีที่ผ่านมา
และ 6.เร่งให้มีการจัดตั้งคณะกรรมการมาตรฐานความปลอดภัยนักท่องเที่ยว และสร้างคุณภาพมาตรฐานกลาง เพื่อสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้บริการทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
ดันแก้ “ค่าไฟ-แรงงาน-ภาษี” :
ด้าน “มาริสา” บอกว่า สำหรับสมาคมโรงแรมไทยจะโฟกัสผลักดันประเด็นที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมาก ๆ เช่น ค่าไฟฟ้า แรงงาน และเรื่องภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยปัจจุบันประเทศประสบปัญหาขาดแรงงานในภาคอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างหนัก
และที่ผ่านมาสมาคมได้เสนอให้ภาครัฐเปิดรับแรงงานนอกเหนือจากประเทศที่เคยมีการตกลง MOU ไว้ รวมถึงพัฒนาแรงงานที่มีทักษะ และกระตุ้นให้แรงงานเข้าสู่สายงานการโรงแรมมากขึ้น
ขณะที่ปัญหาเรื่องค่าไฟที่ปรับตัวขึ้นราว 20% ส่งผลโดยตรงต่อต้นทุนการดำเนินงาน ขณะที่ธุรกิจโรงแรมยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว แต่ผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นหนี้และมีภาระเรื่องดอกเบี้ยที่สูง
เช่นเดียวกับภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ที่สมาคมมองว่าการปรับเพิ่มภาษียังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม เนื่องจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยว โรงแรม ยังไม่ฟื้นเต็มที่ ผู้ประกอบการยังคงมีกระแสเงินสดไม่สมดุล
“ที่สมาคมโรงแรมไทยเป็นสมาชิกสภาหอการค้าด้วย ที่ผ่านมาเราผลักดันหลายเรื่องผ่านทางสภาหอการค้า เช่น เรื่องซอฟต์โลน แรงงาน ค่าไฟ ฯลฯ ซึ่งประเด็นเหล่านี้เป็นเรื่องที่สภาหอการค้าผลักดันในภาพใหญ่อยู่แล้วด้วย”
แห่ซบอก “สภาหอการค้า” :
ผู้คลุกคลีในวงการท่องเที่ยวรายหนึ่งบอกกับ “ประชาชาติธรกิจ” ว่า ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับสภาท่องเที่ยวครั้งนี้ถือเป็นเหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวอย่างมาก โดยเฉพาะในด้านความเชื่อมั่น หมดความน่าเชื่อถือจากหน่วยงานภาครัฐ
ปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เป็นประเด็นที่ผู้บริหารสภาท่องเที่ยวจำเป็นต้องเร่งแก้ไข เพื่อเรียกคืนความเชื่อมั่น ความเป็นหนึ่งเดียวของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกลับมาโดยด่วน
พร้อมทั้งให้ข้อมูลว่า มั่นใจอย่างมากว่า 7 สมาคมที่ลาออกจากสภาท่องเที่ยวนั้น จะหันไปทำงานกับสภาหอการค้าไทย ขณะที่สภาหอการค้าเองก็อยากได้ท่องเที่ยวเข้าไปอยู่ด้วยเช่นกัน นับตั้งแต่ยุค “กลินท์ สารสิน” นั่งเป็นประธานหอการค้าไทย โดยตั้งคณะกรรมการการท่องเที่ยวคุณภาพสูง มาดูแลกลุ่มธุรกิจท่องเที่ยว
เนื่องจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวเป็นเซ็กเตอร์ใหญ่ในการสร้างรายได้เข้าประเทศ และเป็นธุรกิจที่กำลังฟื้น และสร้างรายได้เข้าประเทศได้เร็วที่สุดเมื่อเทียบกับขาธุรกิจอื่นๆ
และไม่เพียงแค่ 7 สมาคมใหญ่เท่านั้น ล่าสุดยังมีกระแสข่าวว่าจะมีสมาคมท่องเที่ยวอื่น ๆ อีกจำนวนหนึ่งลาออกจากสภาท่องเที่ยวมาซบอกสมาพันธ์สมาคมท่องเที่ยว ซึ่งมี “สภาหอการค้าไทย” หนุนหลังอยู่เช่นกัน
ปรากฏการณ์หักดิบตบเท้าลาออกจาก “สภาท่องเที่ยว” ของ 7 สมาคมท่องเที่ยวครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการพลิกโฉมของการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทยแล้ว ยังสะท้อนชัดเจนถึงภาพลักษณ์และยุทธศาสตร์ที่เหนือกว่าของ “สภาหอการค้า” ด้วย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 28 มิถุนายน 2566