"หนี้" ก้อนมหึมา กำลังทำลายเศรษฐกิจจีน
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระทรวงการคลังของจีนเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับหนี้สินของรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละมณฑลว่า รวมกันแล้วมีมูลค่าสูงถึง 35 ล้านล้านหยวน หรือกว่า 5 ล้านล้านดอลลาร์ ณ สิ้นปี 2022
แต่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเลขดังกล่าวน่าจะ “สวยหรู” กว่าความเป็นจริง “โรเดียม กรุ๊ป” บริษัทที่ปรึกษาด้านการลงทุนทั่วโลก ออกมาเปิดเผยว่า เฉพาะตัวเลขหนี้ของหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในท้องถิ่น ที่เรียกกันว่า LGFV (local government financing vehicles) อย่างเดียวก็สูงถึง 59 ล้านล้านหยวนแล้ว ณ สิ้นปี 2022
ตัวเลขหนี้ทั้งหมดของรัฐบาลท้องถิ่นของจีนรวมกันแล้วควรสูงกว่านั้นมากมายนัก
ลำพังปัญหาหนี้เพียงอย่างเดียวคงไม่กระไรนัก แต่หนี้สินก้อนมหึมานี้เป็นเพียงปัญหาหนึ่งในสารพัดปัญหาที่รุมเร้าเศรษฐกิจจีนอยู่ในเวลานี้ แถมยังพัวพัน เชื่อมโยงถึงกันและกัน พากันฉุดรั้งเศรษฐกิจจีนทั้งหมดให้อยู่ในสภาพย่ำแย่อย่างในเวลานี้
จีดีพีจีนในไตรมาสแรกขยายตัวเพียง 2.2% ต่ำกว่าเป้าที่สำนักงานสถิติแห่งชาติจีนวางไว้ที่ 4.5% อยู่มาก ในไตรมาสที่สองอาการยิ่งแสดงออกชัดเจน จีดีพีขยายตัวเพียง 0.8% เมื่อเทียบกับ 3 เดือนก่อนหน้า
ส่งผลให้ครึ่งแรกของปีนี้ ยังไงเศรษฐกิจจีนก็ไม่มีทางขยายตัวได้ถึง 6.2% ตามที่ทางการคาดการณ์เอาไว้อย่างแน่นอน
การส่งออก เครื่องจักรสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจจีนร่วงลงอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยลบทางภูมิรัฐศาสตร์และสถานการณ์เศรษฐกิจโลกโดยรวม ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ขณะที่คาดกันว่าการส่งออกของจีนจะลดลงเพียงแค่ 0.4% ตัวเลขจริง ๆ กลับติดลบสูงถึง 7.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว
ในเดือนมิถุนายนการส่งออกของจีนกลับติดลบมากที่สุดนับตั้งแต่เกิดวิกฤตโควิดเรื่อยมา โดยเมื่อเทียบกันปีต่อปีในรูปของเงินดอลลาร์แล้ว การส่งออกในเดือนมิถุนายนลดลงมากถึง 12.4%
“จาง จื่อเว่ย” นักวิเคราะห์ของพินพอยต์ แอสเซต แมเนจเมนต์ บอกกับรอยเตอร์ว่า เมื่อการส่งออกอ่อนแอ ก็เท่ากับเป็นการยืนยันว่าจีนจำเป็นต้องพึ่งพาความต้องการภายในประเทศ เพื่อผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวในยามที่เศรษฐกิจทั่วโลกชะลอลง และจะยิ่งชะลอลงมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี
ปัญหาก็คือ ความต้องการบริโภคภายในประเทศจะสามารถช่วยกู้เศรษฐกิจจีนได้หรือ ในเมื่อตัวเลขการนำเข้าซึ่งเป็นดัชนีชี้ความต้องการภายในจีนได้เป็นอย่างดีก็ทรุดลงอย่างฮวบฮาบเช่นเดียวกัน
เดือนพฤษภาคมถือเป็นเดือนที่ 8 ติดต่อกันที่การนำเข้าของจีนลดลง และในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา จีนนำเข้าลดลงถึง 9 เดือน
คนในแวดวงอุตสาหกรรมของจีนเองประเมินว่า ออร์เดอร์ภายในประเทศที่ส่งมายังโรงงานผลิตของจีนเองตลอด 6 เดือนแรกของปีนี้ ลดลง 60% เป็นอย่างน้อย
นักวิเคราะห์ส่วนหนึ่งชี้ให้เห็นว่า ปัญหาการบริโภคในประเทศของจีนเชื่อมโยงอยู่ไม่น้อยกับสภาวการณ์ในภาคอสังหาริมทรัพย์ เหตุผลก็คือ ราว 70% ของสินทรัพย์ของ “ชนชั้นกลาง” ของจีนในเวลานี้ถูก “ล็อก” ไว้กับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีสัดส่วนสูงถึงอย่างน้อย 1 ใน 4 ของจีดีพีทั้งหมดของจีน แต่กำลังซบเซาอย่างหนักจากวิกฤตหนี้
ในเดือนมิถุนายนยอดขายบ้านใหม่ลดลงมากถึง 28% เมื่อเทียบกับยอดขายในช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ซึ่งต่ำเตี้ยเรี่ยดินอยู่แล้ว
ตัวเลขการขายอสังหาริมทรัพย์ของจีนตลอด 6 เดือนแรกของปี ขยายตัวเพียง 0.2% เมื่อเทียบกันปีต่อปีเท่านั้นเอง
ปัญหาที่ใหญ่กว่าสภาพเศรษฐกิจย่ำแย่ของจีนในเวลานี้ก็คือ เศรษฐกิจที่ย่ำแย่แล้วยังหาทางออก ทางแก้ไขปัญหาไม่ได้
นักวิเคราะห์บางส่วน รวมทั้ง แอนน์ สตีเวนสัน-หยาง จาก เจ แคปิตอล รีเสิร์ช ระบุว่า เศรษฐกิจจีนในเวลานี้ต้องการการอัดฉีดระดับ “บาซูก้า” ทำนองเดียวกับที่ทางการจีนเคยใช้เมื่อปี 2009 เมื่อรัฐบาลอัดฉีดเม็ดเงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจสูงถึง 4 ล้านล้านหยวน
แต่สตีเวนสัน-หยาง เชื่อว่าการอัดฉีดในระดับนั้นไม่น่าจะเกิดขึ้น เว้นเสียแต่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ขึ้นในจีน ซึ่งไม่น่าจะเป็นไปได้
ทางออกอีกทางคือ การปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นไปไม่ได้ภายใต้สภาพการณ์ทางเศรษฐกิจในยามนี้ เพราะนอกจากจะต้องใช้เวลาแล้ว ยังสุ่มเสี่ยงต่อการล่มของเศรษฐกิจทั้งระบบ เพราะแบกหนี้อยู่มหาศาล และทำให้หนี้สินโดยรวมของจีนอาจพุ่งกระฉูดสูงถึง 350 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพี
นักวิเคราะห์อีกบางส่วนเชื่อว่า ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ตระหนักดีในเรื่องนี้ แต่ในเวลาเดียวกัน สีและรัฐบาลจีนก็เชื่อว่า การชะลอตัวเป็นความจำเป็นที่ต้องเกิดขึ้น ทำนองเดียวกับความจำเป็นที่ต้องให้เกิดการวิกฤตในภาคอสังหาริมทรัพย์ เพื่อปรับเปลี่ยนแนวทางขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปจากการต้องพึ่งพาหนี้มหาศาลเพื่อการขยายตัว ซึ่งมีโอกาสได้ผลไม่น้อยในระยะยาว
คำถามสำคัญในเวลานี้ก็คือ สังคมจีนและคนจีนโดยรวมสามารถอดทนรอจนถึงเวลานั้นหรือไม่เท่านั้นเอง
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 20 กรกฏาคม 2566