"อิสราเอล" ปะทะ "ฮามาส" สงครามไม่มีวันจบ?
กลุ่มฮามาสเปิดปฏิบัติการจู่โจมตีอิสราเอลครั้งใหญ่ในรอบกว่า 50 ปี เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ทั้งทางบก อากาศ และทะเล ด้วยการเปิดฉากยิงจรวดกว่า 5,000 ลูกเข้าใส่ ในเวลาเดียวกันก็ส่งกองกำลังติดอาวุธพังรั้วลวดหนามและรั้วเหล็กที่กั้นระหว่างฉนวนกาซากับพื้นที่ทางตอนใต้ของอิสราเอล เพื่อเปิดทางให้มือปืนเข้ามาก่อเหตุ พร้อมกับที่นักรบฮามาสอีกจำนวนหนึ่งใช้ร่มร่อนพาราไกลดิ้งข้ามกำแพงกั้นเข้ามาสมทบ ก่อการสังหารหมู่ชาวอิสราเอลในชุมชนแบบไม่เลือกหน้า พร้อมกับจับตัวผู้คนที่พบไปเป็นตัวประกันอีกนับร้อย สร้างความตื่นตะลึงไม่เพียงแต่กับชาวอิสราเอลเท่านั้น แต่ยังสร้างความตกตะลึงไปทั่วโลกอีกด้วย
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นสร้างความสูญเสียอย่างหนักชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรอบหลายสิบปีให้กับอิสราเอล มีผู้คนเสียชีวิตไปแล้วกว่า 900 ราย และได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 2,600 คน ทำให้ นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เดือดจัด ประกาศภาวะสงครามทันที และเปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศตอบโต้กลับอย่างหนัก ด้วยการยิงจรวดถล่มฉนวนกาซาซึ่งเป็นฐานที่มั่นของกลุ่มฮามาสแบบไม่ยั้ง ทำให้ชาวปาเลสไตน์เสียชีวิตแล้ว 687 ราย และได้รับบาดเจ็บอีกกว่า 3,726 คน จากข้อมูลของสหประชาชาติ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยังทำให้ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซากลายเป็นผู้พลัดถิ่นในดินแดนของตัวเองกว่า 123,000 คน
การเกิดขึ้นของรัฐชาติอิสราเอลในวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ได้จุดชนวนความขัดแย้งไปทั่วภูมิภาค เพราะไม่มีชาติใดๆ ในบริเวณดังกล่าวยอมรับการประกาศเอกราชของชาวยิว จากนั้นเพียงหนึ่งวันถัดมากองทัพ 5 ชาติอาหรับ ประกอบด้วย จอร์แดน ซีเรีย อิรัก เลบานอน และอียิปต์ ก็ร่วมกันโจมตีรัฐเกิดใหม่แห่งนี้ทันที เหตุพิพาทขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ดำเนินต่อเนื่องเรื่อยมา เพราะอิสราเอลยืนกรานว่าพื้นที่แห่งนี้คือดินแดนแห่งพันธสัญญาที่พระเจ้ามอบให้กับชาวยิว
ขณะที่ปาเลสไตน์ก็ยืนยันเช่นกันว่าพวกเขาอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้มาเนิ่นนานก่อนที่อิสราเอลจะประกาศตั้งรัฐชาติของตัวเองขึ้น
ไม่เกินจริงหากจะพูดว่าความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับปาเลสไตน์ได้ถือว่าเกิดขึ้นมานานเท่ากับอายุของประเทศอิสราเอลนั่นเอง แต่ฉนวนกาซาถูกปิดล้อมมากขึ้นเมื่อกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มหัวรุนแรงชนะการเลือกตั้งและเข้ายึดกุมอำนาจในการปกครองในพื้นที่ในปี 2007 ซึ่งทำให้เกิดการปะทะกับกองทัพอิสราเอลเป็นระยะนับจากนั้นมา
มุมมองของประเทศต่างๆ ต่อกรณีที่เกิดขึ้นต่างกันไปตามพื้นที่ตั้งของประเทศนั้นๆ ประเทศตะวันตกต่างพากันประณามฮามาสและยืนหยัดเคียงข้างอิสราเอล ขณะที่หากหันไปดูท่าทีของชาติในตะวันออกกลางและท่าทีของสื่อในภูมิภาค พวกเขากลับเห็นว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ถือว่าน่าแปลกใจ
แต่เป็นการปะทุขึ้นของสิ่งที่คาดได้ว่าจะเกิดขึ้น เมื่อคำนึงถึงสภาพของชาวปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองดินแดนที่เป็นบ้านของพวกเขา และเผชิญกับการปฏิบัติที่ไม่ต่างจากการกดขี่ข่มเหงมาโดยตลอด
บางคนเรียกการโจมตีของฮามาสว่าเป็นเหตุการณ์ 9/11 บวกกับเหตุการณ์เพิร์ลฮาร์เบอร์รวมกันของตะวันออกกลาง แต่บางคนก็บอกว่านี่คือความล้มเหลวครั้งใหญ่ของกองทัพและหน่วยข่าวกรองอิสราเอล ที่ขึ้นชื่อว่าเป็นองค์กรที่แข็งแกร่งและทรงประสิทธิภาพที่สุด ทั้งยังได้รับเงินสนับสนุนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกอีกด้วย
คำถามคือ ต้นตอของปัญหานี้มาจากอะไร สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือความชะล่าใจของอิสราเอลที่เชื่อว่า การปิดล้อม สกัดกั้น และบีบคั้นชาวปาเลสไตน์อย่างหนักมานานกว่า 16 ปี ที่ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซาไม่มีเสรีภาพในการเคลื่อนย้ายไปที่ใด เว้นแต่จะมีใบอนุญาตทำงานของอิสราเอล หรือได้รับการอนุญาตเป็นกรณีพิเศษให้มารักษาตัวในเขตเวสต์แบงก์ การจะเดินทางไปยังพื้นที่อื่นๆ ของโลกแทบจะเป็นไปไม่ได้สำหรับคนไร้สัญชาติ เช่น ชาวปาเลสไตน์ และพวกเขายังถูกซ้ำเติมด้วยการปิดจุดผ่านแดนราฟาห์และการปฏิเสธไม่ให้ชาวปาเลสไตน์เข้าประเทศของอียิปต์
การปิดล้อมดังกล่าวทำให้เศรษฐกิจของฉนวนกาซาแทบจะอยู่ในภาวะชะงักงัน ปัจจุบันคนในฉนวนกาซาเกือบครึ่งหนึ่งไม่มีงานทำ อัตราการว่างงานของคนหนุ่มสาวมีมากกว่าร้อยละ 60 พวกเขายังถูกอิสราเอลจำกัดเสบียงอาหาร โครงการอาหารโลกระบุว่า คนปาเลสไตน์กว่า 1.84 ล้านคน หรือ 1 ใน 3 ของประชากรทั้งหมดไม่มีอาหารเพียงพอ และ 1.1 ล้านคน เผชิญกับความไม่มั่นคงทางอาหารอย่างรุนแรง ซึ่งในจำนวนนี้ 90% อยู่ในฉนวนกาซา ชาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซายังถูกจำกัดการใช้ไฟฟ้าเพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อวัน ประสบปัญหาสุขอนามัย ไม่มีน้ำสะอาดใช้ และเกิดโรคมากมายจากการขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งน้ำสะอาด
ยังไม่รวมถึงการที่ทหารอิสราเอลเข้ามาก่อเหตุสังหารผู้คนในปาเลสไตน์เป็นระยะ เพื่อกำจัดกลุ่มติดอาวุธตามที่อิสราเอลระบุ แต่เหตุการณ์ที่ถูกอ้างว่าเป็นเหตุผลของปฏิบัติการครั้งนี้ คือการที่ชาวอิสราเอลดูหมิ่นมัสยิดอัล-อักซอ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ลำดับ 3 ของศาสนาอิสลาม แม้ผู้เชี่ยวชาญจะเชื่อว่าการเตรียมการระดับนี้ น่าจะใช้เวลานานกว่าเหตุตึงเครียดที่เพิ่งเกิดขึ้นที่มัสยิดอัล-อักซอ เมื่อต้นปีนี้
ความขัดสนที่อิสราเอลเป็นผู้ก่อ ทำให้อิสราเอลชะล่าใจว่าชาวปาเลสไตน์น่าจะสิ้นฤทธิ์และไม่ใช่ภัยคุกคามที่ต้องจับตาใกล้ชิดสำหรับอิสราเอล ยิ่งในรัฐบาลเนทันยาฮูชุดล่าสุด ที่เผชิญกับการเดินขบวนประท้วงต่อต้านจากชาวอิสราเอลในประเทศอย่างหนัก กลุ่มฮามาสเองก็ทำให้อิสราเอลเชื่อว่าพวกเขาไม่มีปัญญาจะสู้รบปรบมือกับอิสราเอล ในขณะเดียวกันพวกเขาก็วางแผนที่จะตอบโต้กลับครั้งใหญ่ดังที่เราได้เห็นกันใน “ปฏิบัติการพายุอัล-อักซอ” ครั้งนี้
แหล่งข่าวของกลุ่มฮามาสเผยว่า ฮามาสใช้กลยุทธ์หลบหลีกหลอกล่อหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ด้วยการสร้างภาพให้เห็นว่าพวกเขาเบื่อหน่ายกับการต่อสู้ และไม่ต้องการเผชิญหน้ากับอิสราเอล ซ้ำยังแสร้งพอใจกับการสร้างแรงจูงใจทางเศรษฐกิจของอิสราเอลที่เปิดให้เข้าไปหางานทำด้วยค่าแรงที่มากกว่าในฉนวนกาซาถึง 10 เท่า ขณะเดียวกันนักรบฮามาสก็ฉวยจังหวะนี้ซุ่มฝึกนักรบถึง 1,000 คน โดยที่นักรบเหล่านี้ก็ไม่ล่วงรู้ถึงจุดประสงค์ของการฝึกซ้อมเช่นกัน พวกเขาติดต่อกันด้วยวิธีดั้งเดิมที่หน่วยข่าวกรองอิสราเอลไม่อาจใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่มาตรวจจับได้
พล.อ.ยาคอฟ อามิดรอร์ อดีตที่ปรึกษาฝ่ายความมั่นคงแห่งชาติของเนทันยาฮู ยังยอมรับว่า การโจมตีดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดและล้มเหลวครั้งใหญ่ของงานข่าวกรองและกลไกของทหารในพื้นที่ตอนใต้ของอิสราเอล ที่เชื่อว่าองค์กรก่อการร้ายสามารถเปลี่ยนดีเอ็นเอของมันได้
ขณะที่สำหรับคนหนุ่มสาวปาเลสไตน์ในฉนวนกาซา ความทุกข์ทรมานและความสิ้นหวังในชีวิตที่พวกเขาต้องเผชิญ ไม่เคยทำให้จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของพวกเขาดับมอดลง ในทางตรงกันข้ามมันกลับยิ่งทำให้ฉนวนกาซากลายเป็นหัวใจและสัญลักษณ์แห่งการต่อสู้เพื่อปลดปล่อยดินแดนปาเลสไตน์
กระนั้นก็ดี เหตุช็อกโลกครั้งนี้ก็ทำให้ชาวอิสราเอลที่แตกแยกกันอย่างหนักในประเทศหันกลับมารวมเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอีกครั้ง เพื่อสู้ศึกที่พวกเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะต้องเผชิญ เมื่อดูจากการที่อิสราเอลเรียกระดมทหารกองหนุนถึง 300,000 นาย ที่คาดว่าจะเป็นการเตรียมพร้อมเพื่อเปิดแนวรบภาคพื้นดิน และผนวกกับที่นายเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอล ประกาศว่า จะเปลี่ยนแปลงตะวันออกกลางและวางแผนที่จะฟื้นการควบคุมฉนวนกาซา พร้อมกับขจัดกลุ่มก่อการร้ายที่ยังคงปฏิบัติการอยู่ในอิสราเอล
บทสรุปของสงครามครั้งนี้ อาจเป็นเพียงการเริ่มต้นของสงครามที่ไม่มีวันจบ อีกครั้ง!
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 11 ตุลาคม 2566