ส่งออก ต.ค.โต 8% สูงสุดในรอบ 13 เดือน อานิสงส์ภาคเกษตร ทั้งปีคาดโต -1%
กระทรวงพาณิชย์เผยภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทย เดือนตุลาคม 2566 ทะลุ 8% มูลค่า 841,366 ล้านบาท สัญญาณเศรษฐกิจโลกฟื้นแล้ว และยังรับอานิสงส์จากทั้งภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และรถยนต์ ลุ้นอีก 2 เดือน (พ.ย.-ธ.ค.) ยังบวกดันส่งออกทั้งปี -1% เท่ากับที่เอกชนคาดการณ์
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงภาวะการค้าระหว่างประเทศของไทยว่า ในเดือนตุลาคม 2566 ไทยมีมูลค่าการส่งออกอยู่ที่ 23,578.8 ล้านเหรียญสหรัฐ (841,366 ล้านบาท) ขยายตัว 8% (เทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2565) นับว่าสูงสุดในรอบ 13 เดือน ผลมาจากการส่งออกของโลกมีแนวโน้มฟื้นตัวขึ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี เนื่องจากมีหลายเทศกาลที่จะเกิดขึ้นปลายปี
โดยการส่งออกของไทยในเดือนนี้ ขยายตัวมากกว่าที่คาด และมากกว่าหลายประเทศในอาเซียน โดยเฉพาะสินค้าสำคัญอย่างสินค้าเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร ที่โตถึง 9.3% อย่างข้าว ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง อาหารสุนัขและแมว ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง สิ่งปรุงรสอาหาร ผักกระป๋องและผักแปรรูป รวมทั้งเครื่องคอมพิวเตอร์ เม็ดพลาสติก ผลิตภัณฑ์ยาง อาหารสัตว์เลี้ยง เฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน เป็นต้น


นอกจากนี้ อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยทั่วโลกยังเริ่มลดลง แม้ว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะอยู่ในระดับสูง ในขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของจีนเริ่มส่งผล โดยตัวเลขการบริโภคและการลงทุนของจีนเริ่มฟื้นตัวขึ้น สำหรับสถานการณ์สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส ยังคงอยู่ในวงจำกัด จึงยังไม่กระทบต่อการส่งออกภาพรวม
ซึ่งหากมองในภาพรวมการส่งออกไทยทั้ง 10 เดือนแรกของปี 2566 หดตัว 2.7 มีมูลค่า 236,648.2 ล้านเหรียญสหรัฐ (มูลค่า 8,109,766 ล้านบาท) และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย จะหดตัวเพียง 0.6% เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดส่งออกที่สำคัญยังคงมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น เช่นในตลาดอย่างสหรัฐที่ขยายตัว 13.8% จีนขยายตัว 3.4% และอาเซียน ขยายตัว 16.5% ในขณะที่ตลาดญี่ปุ่น ยุโรป และ CLMV กลับหดตัว
สำหรับแนวโน้มการส่งออกในช่วงที่เหลือของปี (พ.ย.-ธ.ค. 2566) คาดว่าจะยังสามารถขยายตัวได้ โดยเฉพาะช่วงปลายปีที่จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลเฉลิมฉลอง สอดรับกับแรงกดดันด้านราคาที่ค่อย ๆ ลดลง เนื่องจากเงินเฟ้อที่ชะลอตัว และแนวโน้มที่ธนาคารกลางสหรัฐจะยุติวงจรการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-ฮามาส ที่หากขยายวงกว้างอาจจะกระทบต่อราคาน้ำมันและต้นทุนการขนส่ง ซึ่งจะไม่เป็นผลดีต่อบรรยากาศการค้าโลกที่กำลังกลับมาฟื้นตัว แต่ยังประเมินว่าส่งออกปี 2566 จะอยู่ที่ -1% ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกันกับภาคเอกชน อย่างสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย (สรท.) ที่คาดการณ์ไว้ อานิสงส์ยังมาจากภาคเกษตรและรถยนต์ แม้สัญญาณการส่งออกจะไม่โตเร็ว แต่ไม่แย่อย่างแน่นอน
โดยกระทรวงพาณิชย์จะต้องเร่งคือ 1.การเจรจาเพื่อสนับสนุน SMEs ไทยรุกตลาดสินค้าเกษตรในญี่ปุ่น ผลักดันการนำเข้าสินค้าเกษตรของไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกล้วยหอมทอง 2.สนับสนุนนักออกแบบไทยสู่ตลาดโลก 3.มาตรการสนับสนุนการระบายสต๊อกน้ำมันปาล์ม ซึ่งเป็นกลไกรับมือกับปัญหาสต๊อกน้ำมันปาล์มดิบส่วนเกินในช่วงที่ผลผลิตออกสู่ตลาดมาก ด้วยการช่วยค่าบริหารจัดการระบายสต๊อกส่วนเกิน 2 บาท/กิโลกรัม โดยมีเป้าหมายที่ 2 แสนตัน
รวมถึงการทำแผนเร่งด่วน (Quick Win) เพื่อผลักดันการส่งออก โดยดำเนินกิจกรรมทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวม 73 กิจกรรม คาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่าการส่งออกได้กว่า 12,400 ล้านบาท เช่น การจัดเจรจาธุรกิจออนไลน์ การเข้าร่วมงานแสดงสินค้า การจัดคณะผู้แทนการค้าไปเยือนงานแสดงสินค้า China International Import Expo (CIIE 2023) ที่นครเซี่ยงไฮ้ การนําผู้ประกอบการเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ เช่น Automechanika ที่ดูไบ American Film Market ที่สหรัฐ Anuga และ Medica ที่เยอรมนี รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายสินค้า TOP Thai บนแพลตฟอร์ม Shopee ในมาเลเซีย และ Rakuten ในญี่ปุ่น เป็นต้น
“เรามีการเปิดตลาดใหม่ ๆ อย่างในจีนที่จะไปเจาะรายมณฑลมากขึ้น น่าจะเป็นทิศทางที่ดี จะส่งผลให้ปี 2567 ส่งออกคาดอาจโตได้ถึง 2%”
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566