สนค. เผยปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ส่งผลต่อเงินเฟ้อไม่มาก และเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวม
เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน นายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยการวิเคราะห์ "ผลกระทบของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไป" ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่าการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลต่อต้นทุนการผลิตและอัตราเงินเฟ้อไม่มากนัก เนื่องจากภาคการผลิตในภาพรวมมีค่าใช้จ่ายจากการใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในสัดส่วนไม่สูงมากเมื่อเทียบกับต้นทุนรวม อีกทั้งมีข้อจำกัดและปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายประการ
ประกอบกับในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลมีมาตรการลดต้นทุนด้านพลังงาน ดังนั้น ต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจะส่งผ่านมายังราคาสินค้าและบริการได้อย่างจำกัด ขณะที่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจะสนับสนุนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย และการเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) ซึ่งจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมในระยะต่อไป
ปัจจุบัน อัตราค่าจ้างขั้นต่ำของไทยถูกกำหนดโดยคณะกรรมการค่าจ้าง ซึ่งเป็นองค์กรไตรภาคี ประกอบด้วยผู้แทนฝ่ายนายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล ทั้งนี้ในการปรับอัตราค่าจ้างแต่ละครั้งจะคำนึงถึงหลายปัจจัยตาม
พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน มาตรา 87 อาทิ ค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อ ต้นทุนการผลิต ราคาของสินค้า ความสามารถของธุรกิจ ผลิตภาพแรงงาน ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ สภาพทางเศรษฐกิจและสังคม สำหรับอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เป็นอัตราตามมติของคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 21 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2565ที่ผ่านมา โดยมีอัตราอยู่ระหว่าง 328 – 354 บาทต่อวัน หรือเฉลี่ย 337 บาทต่อวันและขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาปรับอัตราใหม่ของคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 เพื่อให้มีผลบังคับใช้ในปี 2567
แน่นอนว่าการปรับค่าจ้างขั้นต่ำจะส่งผลดีต่อคุณภาพชีวิตของแรงงานและครอบครัว ขณะเดียวกันจะกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและบริการ และนำไปสู่การสูงขึ้นของภาวะเงินเฟ้อได้ สนค. จึงดำเนินการวิเคราะห์ผลกระทบเบื้องต้นโดยใช้ตารางปัจจัยการผลิตและผลผลิต ของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) และจำนวนผู้ใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งประมวลข้อมูลจากสำนักงานสถิติแห่งชาติและกระทรวงแรงงาน โดยหากอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม (โดยเฉลี่ย 337 บาทต่อวัน) ในอัตราระหว่างร้อยละ 5 หรือ 353.85 บาทต่อวัน และร้อยละ 10 หรือ 370.70 บาทต่อวันจะส่งผลกระทบต่อต้นทุนภาคการผลิตและบริการในภาพรวม ดังนี้
ภาคการผลิตที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบมาก คือกลุ่มที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายแรงงานค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับต้นทุนรวมทั้งหมด โดยเฉพาะกลุ่มสาขาการเกษตร อาทิ 1.การเพาะปลูกยางพารา 2.การเพาะปลูกอ้อย 3. การทำสวนมะพร้าว 4.การทำไร่ข้าวโพด 5.การทำไร่มันสำปะหลัง 6.การปลูกพืชผัก และ 7.การทำนา และกลุ่มสาขาบริการ อาทิ 1.การศึกษา 2.การค้าปลีก 3.การค้าส่ง 4.บริการทางการแพทย์ และ 5.การบริการส่วนบุคคล (การซักรีด การตัดผม เสริมสวย) โดยต้นทุนจะเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 0.12 – 7.75
ขณะที่ภาคการผลิตที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบน้อย คือกลุ่มที่มีสัดส่วนค่าใช้จ่ายแรงงานค่อนข้างต่ำในกลุ่มสาขาอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการผลิต อาทิ 1.โรงกลั่นน้ำมันปิโตรเลียม 2.อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า 3.การผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยุ โทรทัศน์ และการคมนาคม 4.การผลิตก๊าซธรรมชาติ และ 5.การผลิตยานยนต์ โดยต้นทุนจะเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 0.03 – 0.65
ทั้งนี้การปรับค่าจ้างในอัตราข้างต้นจะส่งผลให้ต้นทุนในภาพรวมเพิ่มขึ้น
ระหว่างร้อยละ 0.41 – 1.77
การเพิ่มขึ้นของต้นทุนภาคการผลิตและบริการ ส่งผลต่อสินค้าและบริการในตะกร้าเงินเฟ้อ ซึ่งในภาพรวมระดับราคาเพิ่มขึ้นระหว่างร้อยละ 0.27 – 1.04 สำหรับสินค้าและบริการที่มีแนวโน้มได้รับผลกระทบสูงสุด 5 อันดับแรก คือ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป ข้าว การสื่อสาร ผักสด และผลไม้สด เนื่องจากมีสัดส่วนน้ำหนักค่อนข้างสูงในการคำนวณอัตราเงินเฟ้อ และเกี่ยวข้องกับภาคการผลิตที่ใช้แรงงานค่อนข้างเข้มข้น อาทิ กลุ่มอาหารสำเร็จรูป อยู่ในภาคการผลิตภัตตาคารและร้านขายเครื่องดื่ม ข้าว อยู่ในภาคการทำนา การสื่อสารอยู่ในภาคการผลิต บริการไปรษณีย์โทรเลข โทรศัพท์ และการสื่อสาร และผักสด อยู่ในภาคการผลิตการปลูกพืชผัก
• โดยสรุป การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำจากเดิม (โดยเฉลี่ย 337 บาทต่อวัน) ตั้งแต่ร้อยละ 5 – 10 จึงส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อ ดังนี้
1)กรณีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 หรือ 353.85 บาทต่อวัน หากสถานประกอบการเพิ่มต้นทุนค่าจ้างเฉพาะแรงงานที่จ่ายเป็นค่าจ้างขั้นต่ำ จะส่งผลให้ต้นทุนในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.41 และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.27 ทั้งนี้หากผู้ประกอบการเพิ่มต้นทุนค่าจ้างแก่แรงงานทั้งระบบในองค์กร จะส่งผลให้ต้นทุนในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.88และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.52
2)กรณีการปรับค่าจ้างขั้นต่ำเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 หรือ 370.70 บาทต่อวัน หากสถานประกอบการเพิ่มต้นทุนค่าจ้างเฉพาะแรงงานที่จ่ายเป็นค่าจ้างขั้นต่ำ จะส่งผลให้ต้นทุนในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.82 และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.55 ทั้งนี้ หากผู้ประกอบการเพิ่มต้นทุนค่าจ้างแก่แรงงานทั้งระบบในองค์กร จะส่งผลให้ต้นทุนในภาพรวมเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.77 และอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.04
อย่างไรก็ตาม การส่งผ่านต้นทุนค่าจ้างที่ปรับเพิ่มขึ้นทั้งหมดไปยังราคาสินค้าและบริการเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากภาคการผลิตในภาพรวมมีค่าใช้จ่ายจากการใช้แรงงานที่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำในสัดส่วนไม่สูงมากเมื่อเทียบกับต้นทุนรวม อีกทั้งขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยหลาย อาทิ ภาวะการแข่งขันทางการค้า รสนิยมและกำลังซื้อของผู้บริโภคและสถานการณ์เศรษฐกิจในปัจจุบันที่ฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับบ่อยครั้งรัฐบาลได้มีมาตรการช่วยเหลือเพื่อลดต้นทุนผู้ประกอบการทั้งด้านพลังงาน (ลดค่ากระแสไฟฟ้า ราคาน้ำมันดีเซล) และภาษี และเชื่อมั่นว่าผู้ประกอบการมีวิธีบริหารจัดการในหลายรูปแบบ อาทิ การกำหนดนโยบายการปรับขึ้นค่าจ้าง สวัสดิการ ผลตอบแทน และโบนัสภายในองค์กร การเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของแรงงานเพื่อให้สอดคล้องกับค่าจ้าง การลงทุนด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และเครื่องจักรเพิ่มเพื่อทดแทนแรงงานคน ดังนั้น แม้ต้นทุนค่าจ้างที่เพิ่มขึ้นจะส่งผ่านมายังราคาสินค้าและบริการได้ แต่การปรับขึ้นค่าจ้างดังกล่าวจะสนับสนุนให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย สร้างความเป็นธรรมให้ระบบการจ้างงาน และสนับสนุนการเพิ่มผลิตภาพการผลิต (Productivity) ซึ่งจะเกิดผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมในระยะต่อไป
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า การปรับค่าจ้างขั้นต่ำเป็นเครื่องมือสำคัญในการยกระดับความเป็นอยู่ของครอบครัวผู้ใช้แรงงาน อีกทั้งสนับสนุนการอุปโภค-บริโภคภาคครัวเรือน ให้อุปสงค์ภายในประเทศมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี อัตราค่าจ้างขั้นต่ำควรเป็นระดับที่ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน กล่าวคือ ผู้ประกอบการสามารถดำเนินธุรกิจได้และไม่ส่งผลต่อภาวะการมีงานทำของผู้ใช้แรงงาน โดยภาครัฐอาจพิจารณาสนับสนุนแนวทางการปรับตัวและส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพด้านเทคโนโลยี นวัตกรรม และเครื่องจักร เพื่อลดต้นทุน เพิ่มผลิตภาพแรงงาน และเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งส่งเสริมกิจกรรมทางเศรษฐกิจเพื่อให้เกิดการผลิตและจ้างงาน ตลอดจนดำเนินมาตรการช่วยเหลือด้านต้นทุนการผลิตและค่าครองชีพ เพื่อบรรเทาผลกระทบของค่าจ้างต่อต้นทุนการผลิตและอัตราเงินเฟ้อ สำหรับกระทรวงพาณิชย์
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า นอกจากจะกำกับดูแลสถานการณ์จำหน่ายสินค้าและบริการอย่างใกล้ชิด ให้ราคาอยู่ในระดับที่เหมาะสมสอดคล้องต้นทุนที่แท้จริงแล้ว ยังดำเนินกิจกรรมเชิงรุก ทั้งการพัฒนาความสามารถผู้ประกอบการ การอำนวยความสะดวกและแก้ไขอุปสรรคทางการค้า และส่งเสริมการค้า ทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ เพื่อสร้างรายได้ การจ้างงาน และขับเคลื่อนเศรษฐกิจทุกระดับให้เติบโตได้อย่างเข้มแข็ง
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566