โค้งสุดท้าย… เร่งเบิกงบปี 2567 ความหวังคืนชีพเศรษฐกิจไทย ช้าไม่ได้!!
สัปดาห์ที่ผ่านมา ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีการประชุมพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 วงเงินงบประมาณ 3.48 ล้านล้านบาท ในวาระที่ 2-3 และมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.งบฯ ฉบับนี้แล้ว โดยส่งร่างให้วุฒิสภาเพื่อพิจารณาในวันที่ 26 มีนาคม
หลายฝ่ายตั้งความหวังและเชื่อมั่นว่าจะผ่านไปได้ด้วยดี และนำร่างขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อประกาศบังคับใช้ต่อไป
เพราะกระบวนการยกร่าง พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ล่าช้ามามาก จากปกติต้องเริ่มใช้วันที่ 1 ตุลาคมของทุกปีตามปฏิทินงบประมาณ หมายความว่า งบประมาณแผ่นดินได้ล่าช้าออกไปถึง 6 เดือน เนื่องจากมีการเลือกตั้งและจัดตั้งรัฐบาลใหม่
แม้สำนักงบประมาณออกเกณฑ์ให้ใช้งบไปพลาง คือการใช้งบประมาณของปี 2566 ไปพลางก่อนในระหว่างที่ยังไม่มีงบประมาณ 2567 แต่สิ่งที่หายไปคือ งบลงทุนภาครัฐ ยาหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจ
งบประมาณล่าช้า ฉุดจีดีพีไทยโตต่ำ :
งบลงทุนภาครัฐที่หายไปเป็นสาเหตุสำคัญทำให้เศรษฐกิจไทยปี 2566 เติบโตต่ำกว่าที่คาด
เดือนกุมภาพันธ์ 2567 สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ ระบุผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ของปี 2566 ขยายตัวเพียง 1.9% ต่อปี จากที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์และพฤษภาคม 2566 สภาพัฒน์ประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ไว้ที่ ช่วง 2.7-3.7% เมื่อเดือนสิงหาคม 2566 ประมาณการที่ 2.5-3.0% และเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2566 ได้ประมาณการที่ 2.5% รวมทั้งชะลอตัวกว่าเศรษฐกิจในปี 2565 ที่ขยายตัว 2.6%
หากจำแนกรายไตรมาสตามข้อมูลของสภาพัฒน์จะพบว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกของปี 2566 ขยายตัว 2.7% เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2566 ขยายตัว 1.8% ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ขยายตัว 1.5 เนื่องจากการส่งออกที่ชะลอเป็นสำคัญ และมีสัญญาณของการชะลอตัวจากการลงทุนภาครัฐด้วย ส่วนไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ขยายตัว 1.7%
โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการส่งออกสินค้าและบริการเร่งขึ้น การอุปโภคบริโภคของครัวเรือนยังขยายตัว แต่การใช้จ่ายรัฐบาลลดลง และการใช้จ่ายด้านสาธารณสุขที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อไวรัสโควิดของภาครัฐลดลง ประกอบกับการลงทุนรวมลดลง
โดยการลงทุนภาครัฐไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ลดลง 20.1% จากการลดลง 3.4% ในไตรมาสที่ 3/2566 แบ่งเป็น การลงทุนของรัฐบาลลดลง 33.5% จากการลดลง 3.5% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ซึ่งมีปัจจัยหลักมาจากความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ขณะที่การลงทุนของรัฐวิสาหกิจขยายตัว 7.0% เร่งขึ้นจากการลดลง 3.3% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2566
ลงทุนภาครัฐหาย ก่อสร้างซบเซา :
สภาพัฒน์ยังระบุอีกว่า เศรษฐกิจไทยด้านการผลิต สาขาการก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 ลดลง 8.8% จากการขยายตัว 0.5% ในไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ปัจจัยสำคัญมาจากการก่อสร้างภาครัฐที่ลดลง โดยเฉพาะการลดลงของการก่อสร้างรัฐบาล เนื่องจากความล่าช้าในการประกาศใช้ พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ส่งผลให้การเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อการก่อสร้างของรัฐบาลลดลง
อย่างไรก็ตาม การก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจยังขยายตัว สำหรับการก่อสร้างภาคเอกชนขยายตัวเป็นผลจากการก่อสร้างอาคารที่อยู่อาศัยและอาคารที่ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยในภาคเอกชนขยายตัว ประกอบกับการก่อสร้างในหมวดโรงงานอุตสาหกรรมที่เร่งขึ้นจากไตรมาสที่ 3 ปี 2566 ตามการเพิ่มขึ้นของพื้นที่ก่อสร้างในเขตนิคมอุตสาหกรรม
สอดคล้องกับข้อมูลจากภาคเอกชนผู้รับเหมาก่อสร้างที่ระบุว่า ผลจาก พ.ร.บ.งบประมาณปี 2567 ส่งผลกระทบต่องานในมือของผู้รับเหมาทั้งรายเล็กและรายใหญ่ลดลงไปจำนวนมาก เพราะงานเก่าเริ่มน้อย ขณะที่ไม่มีงานใหม่เข้ามาเพิ่มและขาดช่วง ส่งผลต่อสภาพคล่องเริ่มตึงตัว
โดยที่ผ่านมามีหลายบริษัทต้องบริหารจัดการค่าใช้จ่ายภายในให้สอดรับงานในมือ อาทิ ปรับเวลางานให้เข้ากับเนื้องาน ลดการจ่ายค่าล่วงเวลา
หากงบประมาณปี 2567 ล่าช้าอีกอาจส่งผลต่อสภาพคล่องของผู้รับเหมามากขึ้น เพราะตอนนี้มีบางบริษัทเริ่มติดขัดกันบ้างแล้ว หลังงานในมือลดลงและอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่สูงขึ้น จึงอยากให้รัฐเร่งประมูลงานโดยเร็วเพื่อมาช่วยพยุงสภาพคล่อง
คลังออกมาตรการเร่งเบิกจ่าย :
ปัญหาเรื่องงบประมาณล่าช้านั้นรัฐบาลไม่ได้นิ่งดูดาย โดยกระทรวงการคลัง หน่วยงานหลักที่ดูแลการเบิกงบประมาณแผ่นดินได้มีมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายออกมา
โดย กฤษฎา จีนะวิจารณะ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า เป้าหมายการเบิกจ่ายงบประมาณและการใช้จ่ายภาครัฐ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ได้กำหนดเป้าหมายในภาพรวม 93% แบ่งเป็น การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำ 98% การเบิกจ่ายงบประมาณรายจ่ายลงทุน 75% และเป้าหมายการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายภาพรวมรายจ่ายประจำ และรายจ่ายลงทุน 100%
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังระบุอีกว่า กรมบัญชีกลางได้แจ้งให้หน่วยรับงบประมาณดำเนินการตามหนังสือสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เรื่อง รายงานผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ไปพลางก่อน และมาตรการเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2566 ไปพลางก่อน รวมทั้งดำเนินการดังนี้
1)ให้เร่งดำเนินการส่งเงินจัดสรรต่อไปยังสำนักงานในส่วนภูมิภาคภายใน 5 วัน นับแต่วันที่ได้รับอนุมัติเงินจัดสรร เพื่อให้สำนักงานในส่วนภูมิภาคดำเนินการใช้จ่าย หรือก่อหนี้ผูกพันต่อไป
2)รายการลงทุนปีเดียวให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิถุนายน 2567 สำหรับรายการผูกพันใหม่ให้ก่อหนี้ผูกพันให้แล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคม 2567
3)ให้หัวหน้าหน่วยงานเจ้าของงบประมาณกำกับดูแล บริหารจัดการเร่งรัดการดำเนินการ เพื่อให้สามารถก่อหนี้และเบิกจ่ายเงินงบประมาณให้แล้วเสร็จโดยเร็ว
จี้ รสก.เร่งเบิกงบลงทุน :
ขณะที่การเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้ดำเนินการดังนี้
1)กำหนดเป้าหมายการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจให้ไม่น้อยกว่า 95% ของกรอบงบลงทุน และเป็นตัวชี้วัดของผู้บริหารสูงสุดของรัฐวิสาหกิจ
2)ให้เร่งลงนามในสัญญาภายในเดือนมีนาคม 2567 สำหรับรัฐวิสาหกิจที่ใช้เงินงบประมาณในการลงทุน ให้เตรียมความพร้อมเพื่อให้สามารถลงนามในสัญญาได้ทันทีเมื่อได้รับการจัดสรรงบประมาณ
3)ให้ปรับแผนการเบิกจ่าย โดยเพิ่มการเบิกจ่ายในช่วงเดือนมกราคม 2567-มิถุนายน 2567 และหลีกเลี่ยงการกระจุกตัวของการเบิกจ่ายงบลงทุนในไตรมาสสุดท้าย
4)ให้รัฐวิสาหกิจปีปฏิทินปรับปรุงงบลงทุนระหว่างปี 2567 ให้แล้วเสร็จภายในไตรมาสแรก สำหรับรัฐวิสาหกิจปีงบประมาณที่ยังปรับปรุงไม่แล้วเสร็จให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในเดือนมีนาคม 2567 และ
5)ให้กระทรวงเจ้าสังกัดกำกับดูแลการเบิกจ่ายให้ได้ตามเป้าหมาย
“นอกจากนี้ กระทรวงการคลังยังได้กำหนดแนวทางปฏิบัติเพื่อเร่งรัดการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 ให้รวดเร็วขึ้น โดยให้หน่วยงานของรัฐเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนที่เป็นเรื่องภายในของหน่วยงานของรัฐไว้ก่อน เพื่อให้สามารถดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างได้อย่างรวดเร็ว
รวมทั้งลดระยะเวลาการดำเนินการจัดซื้อจัดจ้างในปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เพื่อให้การดำเนินงานมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมทั้งกำหนดหลักเกณฑ์ในการจ่ายเงิน ก่อนตรวจรับทรัพย์สินหรือตรวจรับงาน เพื่อเป็นทางเลือกให้แก่คู่สัญญาของส่วนราชการด้วย” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังเน้นย้ำ
ลดขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง :
ด้าน แพตริเซีย มงคลวนิช อธิบดีกรมบัญชีกลาง ระบุว่า ส่วนของกรมบัญชีกลางนอกจากให้นโยบายหน่วยงานของรัฐเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างในขั้นตอนที่เป็นเรื่องภายในของหน่วยงานของรัฐไว้ก่อน เช่น การกำหนดรายละเอียด หรือคุณลักษณะเฉพาะ คุณสมบัติผู้ยื่นข้อเสนอ เงื่อนไขในการจัดซื้อจัดจ้าง รูปแบบและเนื้อหาของสัญญาที่จะลงนาม เป็นต้น
โดยการจัดซื้อจัดจ้างดังกล่าวจะมีการลงนามในสัญญา หรือข้อตกลงเป็นหนังสือได้ต่อเมื่อพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 มีผลใช้บังคับ และได้รับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จากสำนักงบประมาณแล้ว และกรณีที่หน่วยงานของรัฐไม่ได้รับจัดสรรงบประมาณเพื่อการจัดซื้อจัดจ้างในครั้งดังกล่าว หน่วยงานของรัฐสามารถยกเลิกการจัดซื้อจัดจ้างได้
พร้อมลดระยะเวลาการดำเนินการ
การเผยแพร่ร่างประกาศและร่างเอกสารซื้อหรือจ้างด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์ กำหนดให้วงเงินเกิน 5 แสน-10 ล้านบาท ให้อยู่ในดุลพินิจของหัวหน้าหน่วยงานของรัฐว่าจะจัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้ประกอบการหรือไม่ก็ได้ จากเดิมที่กำหนดเพดานไว้ที่ 5 ล้านบาท
ส่วนการเผยแพร่ประกาศและเอกสารซื้อหรือจ้างโดยวิธีประกาศเชิญชวนทั่วไป กรณีโครงการวงเงินเกิน 5 แสนบาท แต่ไม่เกิน 100 ล้านบาท ให้ใช้ไม่น้อยกว่า 3 วันทำการ ส่วนโครงการที่วงเงินเกิน 100 ล้านบาท ให้หน่วยงานของรัฐดำเนินการเผยแพร่ประกาศ ไม่น้อยกว่า 20 วันทำการ และการจ้างที่ปรึกษา และการจ้างออกแบบ หรือควบคุมงานก่อสร้าง ให้หน่วยงานของรัฐเผยแพร่ประกาศ เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า 3 วันทำการ
ขยายเวลาเบิกงบเหลื่อมปี :
นอกจากนี้ กรมบัญชีกลางยังได้ขยายระยะเวลาการเบิกจ่ายงบประมาณที่เป็นงบเหลื่อมปีของปีงบประมาณ 2566 ที่ได้ทำสัญญาผูกพันกับภาคเอกชนที่รับจ้างแล้ว ซึ่งจะต้องมีการเบิกจ่ายให้หมดภายในเดือนมีนาคม 2567 ให้สามารถขยายออกไปได้จนถึงกันยายน 2567
ทั้งนี้ หากไม่ขยายระยะเวลาและส่วนราชการเบิกจ่ายงบนี้ไม่ทันภายในมีนาคมนี้ งบประมาณที่เหลือจะต้องถูกพับเก็บไปตามกฎหมาย
อธิบดีกรมบัญชีกลางระบุว่า อีกปัญหาหนึ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณก็คือ การยื่นอุทธรณ์ของผู้แพ้การประมูลงานภาครัฐที่มีเป็นจำนวนมาก และบางกรณีคำอุทธรณ์ก็ไม่มีน้ำหนักเพียงพอ แต่เมื่อมีการยื่นอุทธรณ์แล้ว ทุกคำอุทธรณ์ต้องส่งให้คณะอนุกรรมการในส่วนกลางพิจารณาทำให้การเดินหน้าโครงการลงทุนภาครัฐนั้นๆ จำเป็นต้องหยุดชะงัก เพื่อรอผลการอุทธรณ์ก่อน ดังนั้น เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวกรมบัญชีกลางจะพิจารณาจัดตั้งคณะอนุกรรมการอุทธรณ์ระดับภูมิภาค เพื่อให้กระบวนการพิจารณาการอุทธรณ์ทำได้รวดเร็วขึ้น
“งบเหลื่อมปีของปีงบ 2566 มีจำนวน 1.6 แสนล้านบาท ซึ่งในวงเงินนี้มีการผูกพันทำสัญญาจ้างภาคเอกชนแล้ว 1.59 แสนล้านบาท หรือคิดเป็น 99.48% ของวงเงิน และสามารถเบิกจ่ายงบดังกล่าวได้แล้ว 8.1 หมื่นล้านบาท คิดเป็น 50.62% ของงบเหลื่อมปีทั้งหมด” อธิบดีกรมบัญชีกลางระบุ
ขณะที่ ธนวรรธน์ พลวิชัย ประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ และอธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ระบุว่า ทางเลือกของเครื่องมือที่จะช่วยขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจไทยปี 2567 ขยายตัวได้มากกว่า 3% นั้น ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ ม.หอการค้าไทยได้เข้าไปดูนโยบายต่างๆ มองหาประสิทธิภาพของแต่ละตัว
นักเศรษฐศาสตร์ชี้เร่งงบลงทุน :
ประกอบด้วย 7 ทางออกคือ 1.การเร่งรัดการเบิกจ่ายประจำ 2.การเร่งรัดเบิกจ่ายงบรายจ่ายลงทุน 3.การออกมาตรการคลัง เช่น โครงการดิจิทัลวอลเล็ต 4.การเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อาทิ มาตรการวีซ่าฟรี 5.การกระตุ้นเพิ่มรายจ่ายของนักท่องเที่ยว 6.เพิ่มรายได้จากการส่งออกสินค้า และ 7.การปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย ซึ่งนโยบายที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การเร่งรัดการเบิกจ่ายประจำ และการเร่งรัดเบิกจ่ายงบรายจ่ายลงทุน ถ้ารัฐบาลเตรียมการจัดซื้อจัดจ้างให้เรียบร้อยรองบประมาณออก
รวมถึงปัญหาเรื่องของ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) และภาคบริษัทก่อสร้าง ที่มีสัญญาณขาดสภาพคล่อง ส่วนหนึ่งมาจากการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วย เพราะไม่มีเงินงบประมาณการลงทุนออกมา ไม่สามารถระดมทุนหุ้นกู้ได้เต็มจำนวน ทำให้สภาพคล่องตึงตัว ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้เร็วไหม
เพราะฉะนั้น ถ้างบประมาณแผ่นดินปี 2567 ลงสู่ระบบเร็ว โดยเดือนเมษายน 2567 เศรษฐกิจไทยก็จะถูกกระตุ้นทันทีโดยผ่านงบลงทุน โดยทุกๆ 1 แสนล้านบาทจากการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ จะช่วยให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมประเทศ (จีดีพี) เพิ่มขึ้น 0.52% ต่อปี และทุกๆ 1 แสนล้านบาทของงบลงทุนภาครัฐ จะเพิ่มจีดีพีได้ 0.68% ต่อปี
“เม็ดเงินที่หายไปจากระบบ 3-4 หมื่นล้านบาทต่อเดือนนั้น คือจากเรื่องของงบลง