จอดป้ายประชาชื่น : เทรนด์โลกชี้ชะตาอุตฯ
ปี2566 เทรนด์การลงทุนไทยถือว่าไปได้สวย ส่งผลให้ปีนี้เติบโตตามไปด้วย
โดย จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ระบุสถิติปี 2566 มีการอนุญาตให้ตั้งโรงงานอุตสาหกรรมทั่วประเทศ (นอกนิคมฯ) จำนวน 2,598 โรงงาน มูลค่าการลงทุนกว่า 356,140 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 23% เมื่อเทียบกับปี 2565 และเกิดการจ้างงานกว่า 106,631 คน
สอดรับกับตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ในปี 2566 ที่มีมูลค่ารวม 8.5 แสนล้านบาท ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 9 ปี โดยเมื่อพิจารณาเฉพาะมูลค่าการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) มีการเติบโตสูงถึง 72% จากปีก่อน
ปัจจัยหลักมาจากการย้ายฐานการผลิตของบริษัทระดับโลกที่ต้องการกระจายความเสี่ยงจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์ อีกปัจจัยมาจากความพร้อมของไทยในการเปิดรับการลงทุนจากทั่วโลกผ่านสิทธิประโยชน์และการอำนวยความสะดวกต่างๆ
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจการลงทุนภาคอุตสาหกรรม ปี 2566 พบข้อมูลน่าสนใจ กลุ่มอุตสาหกรรมที่มีมูลค่าการลงทุนสูงสุด คือ
1) กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร มูลค่าลงทุน 40,458.68 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16.41% ผลพวงจากแนวโน้มการฟื้นตัวหลังวิกฤตโควิดคลี่คลาย การท่องเที่ยวที่มีทิศทางขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความต้องการจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มให้เพิ่มขึ้น
2)กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ มูลค่าลงทุน 39,614.71 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.76% เป็นสินค้าที่มีปริมาณความต้องการในตลาด และ 3.กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์โลหะ มูลค่าลงทุน 24,012.16 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 44.84% เป็นไปตามแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร
อย่างไรก็ตามยังพบกลุ่มอุตสาหกรรมที่เติบโตชะลอตัว คือ
1)กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตหนังสัตว์และผลิตภัณฑ์จากหนังสัตว์ ชะลอตัวลง 83.28% ผลจากพฤติกรรมผู้บริโภคจะให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น เลือกบริโภค ซื้อสินค้าด้วยความตระหนักรู้และต้องการใช้ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในสถานการณ์ปัจจุบันการส่งออกหนังและเครื่องหนังของไทยต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลก
โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งที่สำคัญคือ จีน รวมทั้งความจำเป็นที่ต้องพึ่งพาวัตถุดิบจากต่างประเทศ เนื่องจากวัตถุดิบในประเทศไม่เพียงพอ คุณภาพไม่สม่ำเสมอและต่ำกว่ามาตรฐานที่ต่างประเทศต้องการ ทำให้การส่งออกหนังและเครื่องหนังไทยชะลอตัวลง
2)กลุ่มอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์และผลิตภัณฑ์เคมี ชะลอตัวลง 68.97% เกิดจากภัยแล้งและสภาพอากาศที่แปรปรวน ซึ่งจะมีผลต่อการชะลอตัวของความต้องการใช้ปุ๋ยเคมีและเคมีภัณฑ์ และ
3)กลุ่มอุตสาหกรรมสิ่งทอ ชะลอตัวลง 68.36% ผลมาจากคำสั่งซื้อลดลงทั้งจากตลาดในประเทศและต่างประเทศ
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 2 เมษายน 2567