บทบาทจีนกับการจัดระเบียบโลกใหม่
สถาบันจีน-ไทยแห่งมหาวิทยาลัยรังสิตร่วมกับไทยพีบีเอส จัดงานสัมมนาวิชาการเรื่อง “บทบาทจีนกับการจัดระเบียบโลกใหม่” เพื่อเผยแพร่ความรู้ด้านจีนศึกษาให้แก่ประชาชนเนื่องในโอกาสฉลองการก่อตั้งสถาบันจีน-ไทย ครบรอบ 10 ปี โดยมีวิทยากร 3 ท่าน ได้แก่ นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว อดีตปลัดกระทรวงการต่างประเทศ ดร.อาร์ม ตั้งนิรันดร ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ รศ. ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผู้อำนวยการสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา อาจารย์โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงนายเทพชัย หย่อง ผู้อำนวยการอาวุโสกลุ่มงานข่าวจากไทยพีบีเอสเป็นผู้ดำเนินรายการ
หากพิจารณาสถานการณ์ในปัจจุบัน อย่างภาวะวิกฤตสงครามรัสเซียยูเครน ความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและจีน ไปจนถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีนและไต้หวันที่มีความตึงเครียดทางการทหารเพิ่มมากขึ้น คงเกิดคำถามเกี่ยวกับบทบาทของจีนต่อการเปลี่ยนแปลงดุลยภาพความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในเอเชีย รวมทั้งแนวโน้มของการจัดระเบียบโลกว่าจะเป็นอย่างไรในภายภาคหน้า
แต่ก่อนที่จะพูดถึงระเบียบโลกว่ามันเกิดขึ้นใหม่หรือยังและมีหน้าตาเป็นอย่างไร คุณสีหศักดิ์ พูดถึงจีนที่มีบทบาทสำคัญต่อระเบียบโลกปัจจุบันอย่างมาก กล่าวคือ จีนเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก จากประเทศที่ยังไม่รุ่งเรืองเมื่อหลายสิบปีก่อน สู่ประเทศที่มีพร้อมทั้งกำลังด้านเศรษฐกิจ การทหาร เทคโนโลยีที่กินอัตราส่วนราว 20% ของเศรษฐกิจโลก และผงาดขึ้นมาอย่างมั่นใจในเวทีโลกระหว่างประเทศที่มีระเบียบที่ถูกสร้างขึ้นโดยตะวันตกนำโดยสหรัฐ
ซึ่งในสายตาของจีนมองว่า กฎกติกาตามหลัก Liberal International Order นี้ ไม่เป็นธรรมและบีบคั้นจีนเกินไป อีกทั้งยังเป็นกติกาที่ไม่สะท้อนพลวัตขั้วอำนาจของโลกและไม่เปิดพื้นที่ให้อำนาจใหม่มีส่วนร่วมในการเขียนด้วย จึงได้ท้าทายอำนาจเก่าอย่างสหรัฐ
ดั่งที่ ดร.อาร์มระบุว่า “เป็นการหายใจรดต้นคอ” ด้วยการต่างประเทศที่รุกขึ้น พร้อมเสนอโลกทัศน์ต่อระเบียบระหว่างประเทศของจีนแบบใหม่ จีนเดินทางมาถึงอีกขั้นหนึ่งที่ต้องการความเคารพควบคู่ไปกับการยอมรับ ในเรื่องผลประโยชน์แห่งชาติของจีน ตอนนี้จีนเพิ่มรหัสลับเริ่มการประชุมกับสหรัฐ จากเดิมที่เน้นเรื่องนโยบายจีนเดียว ก็เพิ่ม “ไม่ต้องการจะเปลี่ยนระบบการเมืองจีน” “ไม่ต้องการจะขัดแย้งกับจีน”
และอันที่สามที่บอกว่า “โลกไม่จำเป็นต้องเป็นประชาธิปไตย” สะท้อนมุมมองของจีนที่ต้องการให้ตะวันตกยอมรับความชอบธรรมระบอบของจีน รวมถึงโลกทัศน์ต่อระเบียบโลกที่อ้างถึงความหลากหลาย ด้วย “community of shared destiny” เพราะฉะนั้นระเบียบโลกปัจจุบันจึงเป็นเรื่องของการแข่งขันระหว่างแนวคิดเสรีนิยมของสหรัฐและระเบียบโลกที่มีจีนเป็นใหญ่
จุดที่น่าสนใจที่ยกมาพูดคือไม่ใช่แค่จีนเท่านั้น แต่สหรัฐเองก็ได้ตั้งคำถามกับระเบียบโลกในปัจจุบันที่ไม่ได้หนุนเสริมผลประโยชน์ของประเทศอย่างเช่นในอดีต “ทั้งคู่กำลังทิ้งระเบียบโลกเดิมและกำลังกลายเป็นโลกไร้ระเบียบมากกว่า”
ด้าน ดร.ดุลยภาพเสนอว่า โครงสร้างอำนาจระเบียบโลกมันเปลี่ยนไป ภายใต้สมการ “สหรัฐร่วง จีนรุ่ง รัสเซียฟื้น” ซึ่งโยงไปสู่วลีที่ว่า “ยุคนี้เป็นเป็นยุคเสื่อมถอยของตะวันตก และเป็นยุครุ่งเรืองของตะวันออก” ที่คุณสีหศักดิ์กล่าวว่า ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง น่าจะเห็นด้วยอย่างยิ่ง เพราะการที่จีนมีบทบาทในเชิงรุกมากขึ้นส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะผู้นำอย่างสี จิ้นผิง ด้วยวิสัยทัศน์ที่ว่าดุลอำนาจของโลกมันเอนมาทางจีน ขณะที่สหรัฐเป็นอำนาจที่ถดถอย ดังที่เห็นได้จากแถลงการณ์ “the China Dream” หรือ “the rejuvenation of the Chinese nation” เป็นต้น
ขณะที่ความเห็นต่อผู้นำจีนและนโยบายเชิงรุก มี 2 กลุ่ม หลายคนก็มองว่าถ้าหากตอนนี้ เติ้ง เสี่ยวผิง กลับมานำจีนอีกครั้งก็คงไม่เหมือนกับในอดีตที่เน้นการรอเวลาและท่าทีที่ไม่หวือหวา เพราะจีนมีความพร้อมมากกว่าเมื่อก่อน แต่ก็มีอีกกลุ่มที่มองว่าสี จิ้นผิงนี่แหละ ที่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้จีนแข็งกร้าวกว่าเมื่อก่อน จนเกิดเป็นการแข่งขันทางอำนาจดังที่เราเห็นตอนนี้ อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจีนข้างเดียว สหรัฐเองก็มีส่วนที่ทำให้เกิดความตึงเครียดในระเบียบโลกด้วยเช่นกัน
ด้านความรู้สึกของประชาชนก็เปลี่ยนไป ดร.อาร์มเล่าว่าสมัยก่อนคนจีนมีความนิยมในชาติตะวันตก แต่ในวันนี้คนจีนกลับมีความรู้สึกว่า “ต่างชาติกำลังเพิกถอนสิทธิในการพัฒนาของจีน” จนกลายเป็นความรู้สึกต่อต้านและความคิดชาตินิยมที่ลึกซึ้งขึ้นมาก สอดคล้องกับความชอบธรรมของพรรคคอมมิวนิสต์ในยุคนี้ ทำให้สถานการณ์ของโลกอันตรายขึ้น เพราะความขัดแย้งนี้มันบังคับให้โลกถดถอย “เผลอๆ จะรุนแรงกว่าสงครามเย็นรอบที่แล้วอีก ในหลายมิติ”
แล้วปมความขัดแย่งก็ถูกจี้จุดอีกครั้งจากสถานการณ์ล่าสุดที่ นางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ เดินทางไปยังไต้หวัน จีนก็ได้ออกมาตอบโต้ด้วยแสนยานุภาพทางทหารบริเวณเกาะไต้หวัน ซึ่ง ดร.ดุลยภาพวิเคราะห์ว่ามันเป็นเรื่องปกติตามหลักการสัจนิยมที่จีนทำทุกอย่างเพื่อปกป้องพื้นที่เปราะบาง อย่างไต้หวัน และต่อสู้กับสหรัฐในระเบียบโลกอินโดแปซิฟิก ซึ่งมีความตึงเครียดสะสมอยู่แล้ว
โดยแนวทางการสู้รบของจีนจะใช้วิธีผสมผสาน บนหลักนิยมทางทหาร 2 ประโยค นั่นคือสงครามประชาชนภายใต้เงื่อนไขสมัยใหม่ และสงครามท้องถิ่นภายใต้กระบวนการสารสนเทศ ที่ทำให้จีนพัฒนาอาวุธทางทะเลอย่างก้าวกระโดด แม้ว่าจีนจะยังมีข้อจำกัดทางการทหารเมื่อเทียบกับกองทัพของสหรัฐ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญบางส่วนก็กังวลกับความสามารถในการรบของสหรัฐว่าเพียงพอต่อการเอาชนะจีนหรือไม่
ทั้งนี้มีข้อวิจารณ์โดยเฉพาะในวงวิชาการตะวันตกที่มักมองว่าจีนเป็นตัวร้ายที่พยายามบิดกฎระเบียบโลกให้สอดคล้องกับประโยชน์ตนเอง จุดนี้ ดร.อาร์มคิดว่าเกิดมาจากความแตกต่างทางความคิดระหว่างตะวันตกที่เชื่อว่าท้ายที่สุดโลกจะเป็นสังคมเสรีตะวันตก และความยึดมั่นของจีนในเรื่องเอกลักษณ์ของชาติที่ไม่ต้องการให้ใครมาเหมือนหรือมาเปลี่ยนซึ่งมีลักษณะเป็น “ภัยคุกคามทางธรรมชาติต่อระบบเสรีนิยมตะวันตกและตัวอย่างที่ไม่ดีแก่ประเทศอำนาจนิยมอื่นๆ”
ด้านคุณสีหศักดิ์ให้มุมมองว่า สิ่งที่จีนทำไม่ต่างจากมหาอำนาจอื่นๆ ที่ต้องการเสริมสร้างประโยชน์ให้ตน ดูจากการกลับมาสู่เอเชียอีกครั้งของสหรัฐ เพื่อที่จะสกัดกั้นอิทธิพลของจีนในภูมิภาค แล้วปกป้องระเบียบโลกที่สหรัฐยังเป็นใหญ่ ซึ่งมันดันสร้างการแข่งขันระหว่างระบอบประชาธิปไตยและระบอบอำนาจนิยม บังคับให้ต้องมีการ “เลือกข้าง” จะทำให้ยากต่อการจัดการความสัมพันธ์ของสองประเทศ
ขณะที่ ดร.ดุลยภาพชี้ให้เห็นข้อดีของการเเผ่อิทธิพลของจีนอย่างโครงการ “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” ที่ทำให้เกิด “กระบวนการปรับรูปทางภูมิศาสตร์” ส่งผลให้มีพื้นที่ที่กระจายทรัพยากรและความเจริญไปประเทศด้อยพัฒนามากขึ้น แม้จะมีสายตาชาวโลกบางส่วนที่มองว่าเป็น “จักรวรรดินิยมใหม่” ของจีน
ต่อคำถามที่ว่า เราควรทำอย่างไรในภูมิภาคที่จีนมีอิทธิพล คุณสีหศักดิ์บอกว่าโดยภูมิศาสตร์แล้วเราต้องทั้งอยู่และยืนหยัดต่อจีน โดยที่มีสหรัฐคอยถ่วงดุล ในขณะที่เราไม่ตกอยู่ในเกมการต่อต้านจีนของพญาอินทรี ด้านสหรัฐต้องเห็นความสำคัญของเราและควรเข้ามาหนุนในเรื่องเศรษฐกิจมากขึ้น เพื่อให้เรารวมถึงอาเซียนเข้มแข็งด้วยตัวเองและไม่ต้องคอยเอนซ้ายทีขวาที ส่วนไทยต้องวางตัวเองให้มีความสำคัญในภูมิภาค รวมถึงควรมียุทธศาสตร์ระยะยาวต่อ 2 มหาอำนาจ และการใช้กลไกของอาเซียนในการต่อรองในระเบียบโลกที่มีความผันแปรนี้
สำหรับประเด็นสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยืดเยื้อนี้ มีเดิมพันสูงมากสำหรับยุโรปและสหรัฐ ดร.อาร์มกล่าวว่า มันเป็นเหมือนกระจกสะท้อนกรณีไต้หวันที่เปรียบเทียบและคาดการณ์ท่าทีของจีนผ่านสงครามยูเครน จีนก็ไม่อยากให้ใคร “มาแหยม” ในพื้นที่ของตนและไม่อยากให้ไต้หวันเกิดเรื่องราวเดียวกับยูเครนจนเกิดเป็นสงคราม เราจึงเห็นท่าทีการตอบโต้และการเบ่งพลังทหารภายหลังที่สหรัฐเยือนไต้หวัน ทั้งนี้มันคงยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าผลจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่ชัดเจนแล้วคือ สงครามนี้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การเมือง และสังคมของโลกอย่างมาก
แล้วบทบาทของจีนและรัสเซียในระเบียบโลกใหม่จะเป็นอย่างไร วิทยากรทั้ง 3 ท่านเห็นตรงกันว่าจีนมองรัสเซียเป็นพันธมิตรในการต่อสู้กับสหรัฐ แต่จีนก็ไม่ได้สนับสนุนรัสเซียทุกเรื่อง โดยเฉพาะในเรื่องยูเครนที่จีนไม่เห็นด้วยและไม่สนับสนุนการรุกราน จากความยึดมั่นด้านอธิปไตยและบูรณภาพของดินแดน แม้ว่าจะไม่ได้ออกมาประณามการกระทำนั้น และแน่นอนว่าจีนเองก็มีผลประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ซึ่งผูกพันกับระเบียบโลกเดิมที่ทำให้ไม่อาจเสี่ยงถูกคว่ำบาตรไปด้วยได้
สุดท้าย ในประเด็นการต่างประเทศที่คาดหวังจากรัฐบาลใหม่ของไทย ซึ่งจะมีการเลือกตั้งเร็วๆนี้ อาจารย์อาร์มฝากให้คณะบริหารชุดใหม่ของบ้านเราทำการบ้านเรื่องการเมืองระหว่างประเทศที่ยึดโยงกับเศรษฐกิจการเมืองอย่างลึกซึ้ง ที่น่าจะเปลี่ยนไป 3 อย่างได้แก่ การสิ้นสุดของโลกาภิวัตน์-ยุคต้นทุนแพง-ปัญหาเศรษฐกิจจีน ด้านอาจารย์ดุลภาพตั้งโจทย์เรื่องวิสัยทัศน์ทางยุทธศาสตร์เพื่อกระตุ้นให้ไทยเป็นมหาอำนาจมากขึ้น เนื่องจากไทยก็มีศักยภาพเพียงพอแม้จะมีข้อจำกัดอยู่บ้าง และคุณสีหศักดิ์ได้ฝากความหวังที่อยากจะเห็นการต่างประเทศที่สร้างความเป็นอยู่ที่ดีและสันติสำหรับคนไทยและภูมิภาค
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 11 ตุลาคม 2565