ชี้ช่อง! เอกชนไทยส่งออกเครื่องประดับ "จากเพชรแล็บ" เจาะตลาดต่างแดน (ตอนที่ 2)
ตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (พ.ศ. 2562-66) นิตยสาร Forbes รายงานเกี่ยวกับ LGD เป็นระยะ โดยปรากฏผลการวิจัยโดยสถาบันวิจัย นักวิจัยอิสระ และบริษัทที่ปรึกษา เช่น MVEye และ Bain & Company ระบุว่า การขาย (ค้าปลีก) LGD มีสัดส่วนกำไรสูงกว่า ปิดดีลง่ายกว่า และใช้เวลาเฉลี่ยในการขายต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการขายเพชรธรรมชาติในตลาดสหรัฐฯ ซึ่งสำนักข่าว CNN ก็ได้รายงานในทิศทางเดียวกัน จึงพอจะสะท้อนให้เห็นถึงความนิยม LGD ที่เพิ่มสูงขึ้นและข้อจำกัดจากราคาที่มีต่อทั้งผู้ค้าปลีกและผู้บริโภคที่ลดลงเมื่อเทียบกับการซื้อ-ขายเพชรธรรมชาติ
นอกจากนี้ ในปี 2561 De Beers ยักษ์ใหญ่แห่งวงการเพชรได้เปิดไลน์การผลิต LGD ภายใต้แบรนด์ Lightbox ขาย LGD และเครื่องประดับจาก LGD เช่นกัน ซึ่งบางฝ่ายมองว่าเป็นการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของตลาด แต่อีกฝ่ายก็มองว่า เป็นความพยายามที่จะกำหนด positioning ของ LGD ในตลาดโลกให้ยังคงด้อยกว่าเพชรธรรมชาติ เช่น การแยกกันระหว่าง fashion jewelry (LGD) กับ fine jewelry (เพชรธรรมชาติ) และการกำหนดราคาขายที่ต่ำกว่าราคาตลาด เป็นต้น อย่างไรก็ดี เมื่อปีที่ผ่านมา LVMH หนึ่งในผู้นำวงการแฟชั่นหรูระดับบนได้ลงทุนในบริษัทผลิต LGD จากพลังงานแสงอาทิตย์ในอิสราเอลและจะนำผลผลิตมาต่อยอด ซึ่งก็เป็นการตีตราประทับรับรองความ luxury ให้กับ LGD จึงน่าจะเป็นข้อบ่งชี้ว่า LGD ได้กลายเป็นทางเลือกที่ตลาดให้ความสนใจเพิ่มขึ้นและน่าจะสามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
ข้อมูลจาก MVEye ประเมินว่า มูลค่าตลาด LGD ปัจจุบันคิดเป็น 8-10% ของมูลค่าตลาดเพชร (อัญมณีและเครื่องประดับ) ทั่วโลก และ Allied Market Research คาดการณ์ว่า ในปี 2573 ขนาดตลาด LGD ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 49.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือมีอัตราเติบโตสะสมเฉลี่ย (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ในระยะ 10 ปี (ปี 2564 – 2573) ที่ 9.4% โดยตลาด LGD สาขาแฟชั่นจะมี CAGR 9.6% ในช่วงเดียวกัน ทั้งนี้ ในภาพรวม ตลาด LGD จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียและเอเชียและแปซิฟิก ซึ่งคาดว่าจะมี CAGR 10.6%
ตลาดเครื่องประดับจาก LGD จึงเป็นตลาดที่มีศักยภาพ โดยนอกจากจะเป็นตลาดรองรับผู้นิยมเพชรจากตลาดเพชรธรรมชาติที่ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม หรือกลุ่มที่มองหาเพชรที่มีขนาดใหญ่ขึ้นกว่าเดิม ดังที่บริษัทที่ปรึกษา The Edge Retail Academy พบว่า ในช่วง ม.ค. – มิ.ย. 2565 ผู้ค้าปลีกในสหรัฐฯ มียอดขายรวมของ LGD เม็ด เพิ่มขึ้น 5.3% จากช่วงเดียวกันของปี 2564 โดยยอดขาย LGD เม็ดขนาดใหญ่มีการเติบโตที่โดดเด่น เช่น ขนาด 3.25-3.5 กะรัต มียอดขายรวมสูงขึ้น 194% ขนาด 4.5-5 กะรัต เพิ่มขึ้น 582% และ 5.5-6 กะรัต เพิ่มขึ้น 78% LGD ยังช่วยเปิดตลาดเครื่องประดับเพชรที่เข้าถึงง่ายขึ้นไปยังฐานลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะกลุ่มวัยรุ่นและวัยทำงานในลักษณะของสินค้าแฟชั่นด้วย
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทย ซึ่งมีจุดแข็งในด้านการเจียระไน ออกแบบ และสร้างสรรค์เครื่องประดับอัญมณีเป็นทุนอยู่แล้ว จึงไม่ควรมองข้ามศักยภาพตลาด LGD ทั้งในการส่งออก LGD เจียระไน และเครื่องประดับ โดย ในปี 2565 สถิติการส่งออก LGD ก้อนและที่เจียระไนแล้วของไทย มีมูลค่าเพียง 46.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นส่วนแบ่งที่น้อยมากจากตลาด LGD โลกที่คาดว่าจะมีมูลค่าถึงเกือบ 50 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2573 อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการไทยควรคำนึงถึงกระบวนการผลิตที่เป็นไปตามหลัก ESG และความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภคโดยการระบุชัดเจนว่าเป็นเพชรจากแล็บ และร่วมกันให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับ LGD แก่ผู้บริโภคดังที่ผลการวิจัยของ MVEye ยืนยันว่า โอกาสปิดดีลจะสูงถึง 60-80% เมื่อลูกค้าได้รู้เกี่ยวกับเครื่องประดับจาก LGD มากขึ้น
ดังที่ระบุในตอนที่ 1 ว่า LGD ในอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับมีสัดส่วนเพียงราว 10% ของอุตสาหกรรม LGD ทั้งหมด โดยอีก 90% ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตที่หลากลายเพื่อทดแทนเพชรจริงหรือสารอื่นเพราะราคาที่ลดลงและสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้ด้วยคุณสมบัติแรงเสียดทานต่ำ คงทน และปฏิกิริยาทางชีววิทยาต่ำ เช่น การใช้ในอุตสาหกรรมยานยต์ เครื่องบิน turbine อุปกรณ์ทางการแพทย์ เช่น ข้อต่อเทียม เลนส์สำหรับเครื่องยิงเลเซอร์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เช่น แผงวงจร และอาจสามารถทดแทน silicon ในฐานะ semiconductor โดยเฉพาะในสภาพการใช้ที่มีความร้อนสูง เป็นต้น โดยปัจจุบัน 3 ประเทศผู้ผลิต LGD หลัก ได้แก่ จีน ครองส่วนแบ่งตลาดราว 56% อินเดีย 15% และสหรัฐฯ 13%
ที่มา globthailand
วันที่ 9 มีนาคม 2566