ทอท. เดินหน้าพัฒนา-ขจัดปัญหา สนามบินแออัด เล็งเปิดเช็กอินเข้าเกท-เพิ่มเวลาช้อป 5 ชม.
นายกีรติ กิจมานะวัฒน์ ผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า หลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหน่ง เมื่อวันที่ 24 เมษายน ที่ผ่านมา สิ่งสำคัญที่ได้แสดงวิสัยทัศน์และนโยบาย เมื่อตอนคัดเลือกเข้ามารับตำแหน่ง ผู้อำนวยการใหญ่ ทอท. คือเรื่องระบบการจัดการในสนามบิน โดยเฉพาะที่สนามบินสุวรรณภูมิ เนื่องจากที่ผ่านมาระดับการให้บริการตกลงมา เป็นผลจากผู้โดยสารรู้สึกว่าไม่ได้รับความสะดวกในการที่จะเดินทาง
เนื่องจากปัจจุบันในช่วงเวลาเร่งด่วน หรือเวลา 19.00-23.00 น. มีผู้โดยสารมาใช้บริการจำนวนมากใกล้เคียงช่วงก่อนเกิดโควิด-19 ปี 2562 ทั้งนี้ ความสะดวกสบายที่ผู้โดยสารจะได้รับ เริ่มตั้งแต่การเช็กอิน จุดตรวจค้น จุดตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) จนถึงโถงพักคอยผู้โดยสาร รอขึ้นเครื่องบิน ที่บางรายรอนานถึง 7 ชั่วโมง (ชม.) ขณะที่เคาน์เตอร์สายการบินเปิดให้เช็กอินก่อนเดินทาง 3 ชั่วโมง จึงทำเกิดความสะสมของผู้โดยสาร
“ปัจจุบัน ทสภ. มีเคาน์เตอร์เช็กอินเพียงพอ แต่ขาดบุคลากรที่ประจำจุด สิ่งที่จะช่วยทดแทนได้คือ เครื่องเช็กอินอัตโนมัติ และเครื่องโหลดสัมภาระอัตโนมัติ โดยตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2566 จะเปิดให้ผู้โดยสารใช้เครื่องดังกล่าวเช็คอิน และโหลดสัมภาระได้ล่วงหน้าก่อนเดินทางประมาณ 5 ชม. จากเดิม 3 ชม. เพื่ออำนวยความสะดวก ลดความหนาแน่นบริเวณที่พักคอยก่อนเช็กอิน และหน้าเคาน์เตอร์เช็กอิน”
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีสายการบินที่ผู้โดยสารสามารถใช้บริการเครื่องเช็กอิน และโหลดสัมภาระอัตโนมัติได้ประมาณ 18 สายการบิน ซึ่งขณะนี้ยังมีหลายปัจจัยที่ทำให้บางสายการบิน ยังไม่สามารถใช้บริการเครื่องดังกล่าวได้ อาทิ บางประเทศต้องแสดงผลตรวจ RT-PCR และบางประเทศต้องลงทะเบียน และตรวจสอบผ่านแอพพลิเคชั่น แสดงกับเครื่องอัตโนมัติไม่ได้ ขณะที่ ท่าอากาศยานสุววรณภูมิผู้โดยสารยังใช้บริการไม่มาก ตั้งเป้าหมายว่าภายในปี 2566 จะดึงให้ผู้โดยสารหันมาใช้บริการเครื่องดังกล่าวเพิ่มขึ้น 50%
ทั้งนี้ ได้มอบหมายให้ ท่ากาศยานสุวรรณภูมิ พิจารณาเรื่องการให้ผู้โดยสารถอดรองเท้าในขั้นตอนจุดตรวจค้น ซึ่งให้ท่ากาศยานสุววรณภูมิพิจารณาว่ารองเท้าที่มีความเสี่ยงคือประเภทใดบ้าง อาทิ รองเท้าแตะ หรือรองเท้าส้นบาง อาจไม่จำเป็นต้องถอด เพื่อลดภาระผู้โดยสาร คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายใน 2 เดือน หรือประมาณเดือนมิถุนายนนี้ ซึ่งทุกขั้นตอนต้องตรงตามมาตรฐานสากล
ขณะที่ การพัฒนาจุดตรวจค้น ท่ากาศยานสุวรรณภูมิ นำเครื่องตรวจอาวุธและวัตถุระเบิด แบบ Dual View X-Ray มาใช้ ซึ่งมองเห็นได้ 2 ทิศทาง และสามารถเห็นอุปกรณ์ หรือเครื่องมือที่อยู่ภายในเครื่อง อาทิ โน้ตบุ๊ก ไอแพด หรืออุปกรณ์ไอทีต่างๆ โดยไม่ต้องนำออกมาจากกระเป๋าให้ตรวจเหมือนในปัจจุบัน ซึ่งอยู่ระหว่างหารือกับสำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ในฐานะหน่วยงานกำกับมาตรฐาน และความปลอดภัย เพื่อขอแก้ไขข้อมูล หากได้รับอนุมัติจะช่วยลดระยะเวลาในการผ่านขั้นตอนได้รวดเร็วมากขึ้นอีกด้วย
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 2 พฤษภาคม 2566