ภารกิจนานาชาติกับการช่วยโลก รับมือ Climate Change
"We are the first generation to feel the impact of climate change and the last generation that can do something about it." Barack Obama
สวัสดีค่ะ แบงก์ชาติชวนคุยคราวนี้ ขอเปิดคอลัมน์ด้วยประโยคปลุกใจให้ชาวโลกเห็นถึงบทบาทของตนในการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยอดีตประธานาธิบดีสหรัฐ บารัก โอบามา ที่กล่าวไว้ในการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 21 (COP21) ที่กรุงปารีส เมื่อปี 2558 ที่ได้กำหนดเป้าหมายว่าจะรักษาระดับอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกไม่ให้สูงขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส จากอุณหภูมิโลกในช่วงยุคก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือหากเป็นไปได้ก็จะพยายามไม่ให้อุณหภูมิสูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียส
ที่ผ่านมาหลายประเทศได้เริ่มปรับตัวสู่เศรษฐกิจสีเขียว (green economy) ด้วยการขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่คำนึงถึงความเสี่ยงและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านนโยบายหรือวิธีการต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
อย่างการกำหนดสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนขั้นต่ำของสหรัฐ การเก็บภาษีก๊าซเรือนกระจกของสวีเดน การออกตราสารหนี้สีเขียวเพื่อระดมทุนสำหรับโครงการด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศในยุโรป การให้เงินอุดหนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้าของนอร์เวย์และจีน การก่อตั้งธนาคารเพื่อสนับสนุนเงินทุนให้กับโครงการและผู้เชี่ยวชาญด้านพลังงานสีเขียวของอังกฤษ และการก่อตั้งตลาดซื้อขายคาร์บอนที่ใหญ่ที่สุดในโลกในจีน
สำหรับประเทศที่เตรียมการช้าจนปรับตัวไม่ทัน อาจได้รับผลกระทบจากมาตรการเข้มงวดใหม่ ๆ ที่จะนำมาใช้สนับสนุนกิจกรรมที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ และกีดกันกิจกรรมที่ปล่อยคาร์บอนสูง อาทิ สหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกาอยู่ระหว่างการเตรียมออกใช้มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดน (carbon border adjustment mechanism : CBAM) ซึ่งคาดว่าจะบังคับใช้ภายในปี 2566-2567 และทำให้สินค้าที่จะนำเข้าไปในกลุ่มประเทศเหล่านี้ ต้องรายงานปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในกระบวนการผลิต ซึ่งมาตรการนี้อาจกระทบสินค้าส่งออกจากไทยไปยุโรปที่มีมูลค่าสูงถึง 28,573 ล้านบาท
ประเทศไทยได้ยืนยันเข้าร่วม “ความตกลงปารีส” ในปี 2559 ซึ่งในการผลักดันการจำกัดอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้น และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ตามเป้าหมายนั้น ทุกภาคส่วนต้องปรับกระบวนการทำงาน โดยเฉพาะภาคการผลิต มีการเพิ่มกลไกสร้างความโปร่งใส รวมไปถึงภาคการเงินก็ต้องพร้อมให้การสนับสนุนผู้ที่ต้องการร่วมเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน
เราได้เห็นภาคการเงินในหลายประเทศเข้ามามีบทบาทในการขับเคลื่อน เพื่อผลักดันให้ภาคธุรกิจผนวกเอาการใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเข้าไปเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงาน โดยหนึ่งในเครื่องมือที่จะเป็นสารตั้งต้น เพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนี้คือ “taxonomy” ซึ่งในบริบทของภาคการเงินจะเป็นการกำหนดมาตรฐานกลางในการประเมินกิจกรรมทางเศรษฐกิจว่ามี “ความเขียว” มากน้อยแค่ไหน
taxonomy ได้รับการพัฒนาและนำมาใช้ในสหภาพยุโรปเป็นกลุ่มแรก ปัจจุบันประเทศต่าง ๆ อย่าง อินเดีย แคนาดา จีน สิงคโปร์ รวมทั้งไทยก็อยู่ระหว่างการจัดทำ taxonomy ที่เหมาะกับโครงสร้างเศรษฐกิจและบริบทของประเทศ แต่ก็ต้องให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลที่ทั่วโลกกำลังใช้อยู่ด้วย
สำหรับไทยแบ่งกลุ่ม taxonomy เป็น 3 สี 3 ระดับ โดยกิจกรรมที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและช่วยลดปัญหา climate change จะเป็นสีเขียว กิจกรรมที่อยู่ระหว่างปรับตัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจะเป็นสีเหลือง และกิจกรรมที่ไม่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและต้องปรับตัวหรือทยอยลดลงจะเป็นสีแดง
เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงสู่ “เศรษฐกิจสีเขียว” ได้ทั้งระบบนิเวศ แบงก์ชาติจะมีส่วนช่วยในเรื่องนี้ได้อย่างไร ? ในฐานะผู้กำกับดูแลสถาบันการเงิน แบงก์ชาติจะช่วยเร่งกระบวนการเปลี่ยนผ่านนี้ นอกจากจะร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำ taxonomy แล้ว ยังผลักดันให้สถาบันการเงินนำ taxonomy มาใช้ โดยเริ่มจากการวางแผนกำหนดการดำเนินงานสำหรับตัวเองและการจัดพอร์ตสินเชื่อของลูกค้า และควรจัดสรรทรัพยากรเงินทุนไปในทิศทางใด
รวมถึงจะมีแรงจูงใจอะไรให้ในกิจกรรมแต่ละสี ตัวอย่างเช่น สินเชื่อสำหรับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่อยู่ในกลุ่มสีเขียว อาจได้รับการเสนออัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่ากลุ่มสีเหลือง ขณะที่กลุ่มสีแดงจะไม่ได้ลดอัตราดอกเบี้ย หรือได้สินเชื่อเดิมจนกว่าสถาบันการเงินจะยุติการให้สินเชื่อ
นอกจากนี้ แบงก์ชาติยังจะเร่งผลักดันให้สถาบันการเงินนำแนวทางดังกล่าวไปออกแบบผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่สนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน รวมถึงเพิ่มโอกาสให้ผู้ประกอบการที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นรายใหญ่ หรือกลุ่ม SMEs เพื่อให้เข้าถึงสิทธิประโยชน์ทางการเงิน และร่วมกันสร้างเศรษฐกิจสีเขียวให้เกิดขึ้นจริง ในอนาคตอันใกล้เราหวังว่าจะมีการนำ taxonomy ไปปรับใช้กับโครงการภาครัฐเพิ่มเติมด้วย
นี่คือภารกิจของทีมที่ชื่อว่า “โลก” หากมีเพียงบางคนที่ช่วยกันแก้ปัญหา แต่บางคนไม่ทำงานชิ้นนี้จะไม่มีทางสำเร็จ อย่าลืมนะคะว่า พวกเราคือคนรุ่นสุดท้ายที่สามารถทำอะไรบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา climate change ได้ เริ่มจากตัวคุณ ธุรกิจของคุณ ขยายออกไปสู่ประเทศและโลกของเรา มาร่วมกันเปลี่ยนแปลงโลกนี้กันค่ะ
แล้วพบกันใหม่ในโอกาสต่อไป บนโลกที่เราต้องช่วยกันรักษาอุณหภูมิไม่ให้สูงเกิน 1.5 องศาเซลเซียสนะคะ
คอลัมน์ : แบงก์ชาติชวนคุย
ผู้เขียน : ชญาวดี ชัยอนันต์ โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 25 มิถุนายน 2566