จอดป้ายประชาชื่น : ขาดจีนเหมือนขาดใจ
ปัญหา "ทุนจีนสีเทา" แดงขึ้น หลังมีนักลงทุนชาวจีนอาศัยประเทศไทยเป็นฐานการทำธุรกิจผิดกฎหมาย ซึ่งมีคนไทย กลุ่มคนมีสีเข้ามาเอี่ยว ด้วยการอำนวยความสะดวกให้กับคนจีนกลุ่มนี้
ประเด็นนี้ไม่เพียงส่งผลให้นักลงทุนจีนที่ทำถูกกฎหมายโดนเพ่งเล็ง แต่ยังสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ถ้าจีนไม่สนไทยขึ้นมาจริงๆ เศรษฐกิจก็น่าเป็นห่วง เพราะไทยพึ่งพาเศรษฐกิจจีน เพื่อเป็นแรงส่งหลายด้าน ทั้งการลงทุน การท่องเที่ยวและการส่งออก
เรียกว่าเกือบจะเป็นทุกอย่างของ “ไทย” :
สะท้อนข้อมูลจากหอการค้าไทย ระบุว่า จีนเป็นประเทศคู่ค้ากับไทยอันดับ 1 นับ 11 ปีซ้อน การส่งออกไทยไปจีน อยู่ที่ 1.19 ล้านล้านบาท ในกลุ่มสินค้าผลไม้ ผลิตภัณฑ์ยาง เม็ดพลาสติก
ขณะที่ไทยนำเข้าจากจีนถึง 2.49 ล้านล้านบาท ในกลุ่มเครื่องจักรไฟฟ้า เคมีภัณฑ์ และเครื่องจักรยนต์ แม้จะขาดดุลการค้าประมาณ 1.3 ล้านล้านบาทจากการนำเข้า แต่ถือว่าเป็นสินค้าประเภททุนสำหรับการต่อยอดการค้าไทย อีกทั้งการท่องเที่ยวจีนครองอันดับ 1 ในช่วงก่อนโควิด
ขณะที่จีนลงทุนในไทยอันดับ 3 มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท รองจากอาเซียนและญี่ปุ่น และจีนขอรับข้อมูลการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) อันดับ 1 มูลค่า 7.7 หมื่นล้านบาท แซงหน้าญี่ปุ่นและสหรัฐ รวมถึงลงทุนรถยนต์ไฟฟ้า (อีวี) ในไทยเป็นอันดับ 1
เรื่องนี้ วิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า ความสัมพันธ์ไทย-จีนมีมานาน ที่ผ่านมาในแง่การลงทุนจีนในไทยมีปริมาณมาก เพราะไทยมีโครงสร้างเอื้ออำนวยการทำธุรกิจ และในแง่การเป็นนักท่องเที่ยวก็เข้ามาใช้จ่ายในไทยสูง ขณะที่การลงทุนมีต่อเนื่อง แต่ระยะถัดไปจะให้ความสำคัญเรื่องความถูกต้องและโปร่งใสเพื่อลดการเข้าใจผิดการลงทุนถูกกฎหมายจะกลายเป็นทุนจีนสีเทา
ดังนั้น ไทยยังพึ่งพาพี่ใหญ่อย่าง “จีน” เรียกว่าเป็นคู่ค้ารายใหญ่ที่ยังไงก็ตัดกันไม่ขาด เพียงแต่ถ้าเข้ามาแล้วไม่กลายเป็น “จีนเทา” เศรษฐกิจไทยเราจะถูกกระตุ้นโดยแท้จริง!
ที่มา มติชนออนไลน์
วันที่ 4 กรกฏาคม 2566