ทำไมราคาน้ำมันโลก ยังต่ำเกินความคาดหมาย
ราคาน้ำมันดิบทั่วโลกซึ่งอ้างอิงจากราคาน้ำมันดิบชนิดเบรนต์ยังคงแกว่งตัวอยู่ในช่วงราคา 75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ส่วนราคาน้ำมันดิบชนิดเวสต์เทกซัสอินเตอร์มีเดียต (WTI) ก็ยังทรงตัวอยู่ที่ระดับราคา 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล
ไม่ได้พุ่งสูงขึ้นมากอย่างที่คาดกันก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะเมื่อ “ซาอุดีอาระเบีย” ประกาศปรับลดกำลังการผลิตของตนเองลงอีก 1 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา เพิ่มเติมจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งน้ำมันเป็นสินค้าออก (โอเปก) ทำความตกลงกับผู้ผลิตรายใหญ่นอกกลุ่ม ประกาศในนามของ “โอเปกพลัส” เมื่อเดือน เม.ย.ว่าจะลดการผลิตน้ำมันลง 1.7 ล้านบาร์เรลต่อวัน เพื่อให้ราคา “มีเสถียรภาพ” อยู่ในระดับที่เหมาะสม
แต่ปรากฏเป็นที่ชัดเจนว่า ราคาน้ำมันโลกไม่ได้เคลื่อนไหวเป็นไปตามความคาดหวัง โดยยังทรงตัวอยู่ในระดับราคา 70-75 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากราคาเมื่อ 1 ปีที่ผ่านมาระหว่าง 32-34%
ราคาก๊าซธรรมชาติ ยิ่งไปกันใหญ่ ลดลงจากระดับพีกเมื่อเดือน ส.ค.ปีที่แล้วถึง 88%
ประเด็นยิ่งน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เมื่อปรากฏว่า การปรับลดการผลิตของกลุ่มโอเปกและพันธมิตรที่ว่านั้น เกิดขึ้นท่ามกลางปัจจัยลบที่ส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตเพื่อป้อนน้ำมันสู่ตลาดโลกมากมายหลายปัจจัยด้วยกัน
อาทิ ในห้วงเวลาเดียวกันนั้น ปริมาณหลุมขุดนำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา ลดลงอย่างต่อเนื่อง 7 สัปดาห์ติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน ก.ค. 2020 เป็นต้นมา โดยแหล่งผลิตสำคัญในนอร์เวย์ หยุดการผลิตชั่วคราวสืบเนื่องจากปัญหาการซ่อมบำรุงที่ยืดเยื้อกว่าปกติ ในขณะที่เนเธอร์แลนด์ก็ประกาศปิดดำเนินการของลานก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปเช่นกัน
นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อกันว่า ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ กดดันให้ทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเกินคาดในเวลานี้คือ “ดีมานด์” หรือความต้องการน้ำมันที่ “ลดลงโดยธรรมชาติ” เมื่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดน้อยถอยลง อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลกถูกปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง
ในสหรัฐอเมริกา ปัญหาที่เกิดขึ้นในระบบธนาคารยังคงก่อให้เกิดความวิตกว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยเป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ในช่วงปลายปีนี้ ในยุโรปภาวะเงินเฟ้อส่งผลต่อการจับจ่ายของผู้บริโภค ท่ามกลางความกังวลว่าผลกระทบจากการขึ้นอัตราดอกเบี้ยกำลังเกิดเป็นรูปธรรมขึ้นทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ยิ่งไปกว่านั้น ภาวะการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังวิกฤตโควิดในจีนก็อ่อนแอมากกว่าที่คาดการณ์กันไว้มาก จนกลายเป็นผลกระทบต่อดีมานด์น้ำมันในตลาดโลกอย่างสำคัญ แต่ถ้ามองลึกลงไปในรายละเอียดของความต้องการน้ำมันจริง ๆ จะพบได้ทันทีว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันในตลาดโลกมากขนาดนั้น จีนต้องการน้ำมันลดลงก็จริงแต่ไม่มากอย่างที่คิดกัน
ตรงกันข้ามตัวเลขการบริโภคน้ำมันในจีนพุ่งขึ้นเป็นสถิติสูงสุดที่ 16 ล้านบาร์เรลต่อวันเมื่อเดือนเมษายน การใช้รถบรรทุกขนส่งสินค้า, ตัวเลขการเดินทางและท่องเที่ยว ล้วนพุ่งสูงขึ้นหลังจากวิกฤตโควิดอย่างชัดเจน ทำให้การบริโภคน้ำมันดีเซล, เบนซินและน้ำมันสำหรับเครื่องบินเจ็ต สูงขึ้นตามไปด้วย
ในสหรัฐอเมริกา ราคาน้ำมันที่ลดต่ำลงมากว่า 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน เชิญชวนให้การขับรถท่องเที่ยวตามฤดูกาลของคนอเมริกันพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย และทั้งในเอเชียและยุโรป ต่างพากันเผชิญหน้ากับภาวะอุณหภูมิสูงผิดปกติ จำเป็นต้องใช้พลังงานเพิ่มมากขึ้นเพื่อทำความเย็น
ทั้งหมดนี้ชี้ว่า ความต้องการน้ำมัน อาจไม่ใช่เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ระดับราคาน้ำมันโลกทรงตัวอยู่ในระดับต่ำเช่นนี้
ทำให้หลายคนหันมามองในด้านซัพพลาย และพบคำอธิบายที่น่าเชื่อถือเมื่อพบว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ได้จูงใจให้บรรดาชาติผู้ผลิตน้ำมันนอกกลุ่มโอเปกผลิตน้ำมันเพิ่มมากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ข้อมูลของ เจพีมอร์แกน เชส ระบุว่า ปริมาณการผลิตจากแหล่งน้ำมันในมหาสมุทรแอตแลนติก โดยเฉพาะของบราซิล และกายอานา (Guyana) เมื่อบวกกับการผลิตน้ำมันจากหินและทรายน้ำมัน ในสหรัฐอเมริกา อาร์เจนตินา และแคนาดา ผสมกับการผลิตที่เพิ่มสูงขึ้นของนอร์เวย์ ทำให้ปริมาณการผลิตของประเทศนอกกลุ่มโอเปก เพิ่มขึ้นถึง 2.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2023
ในทางทฤษฎี ปริมาณการผลิตที่เพิ่มขึ้นของกลุ่มน็อนโอเปก ควรถูกชดเชยด้วยการลดกำลังการผลิตลง 2 ครั้งในปีนี้ของโอเปกพลัสได้เหลือเฟือ แต่ในทางปฏิบัติกลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะปริมาณการผลิตจริงของสมาชิกโอเปกไม่ได้ลดลงอย่างที่ให้สัญญากันไว้ และสมาชิกหลายชาติกลับเพิ่มการผลิตด้วยซ้ำไป ตัวอย่างเช่น เวเนซุเอลา ในเวลานี้่ส่งออกน้ำมันในระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2018 เลยทีเดียว
ที่น่าสนใจมากขึ้นก็คือ ราว 1 ใน 5 ของน้ำมันดิบในตลาดโลกในเวลานี้ มาจากประเทศที่ถูกแซงก์ชั่นจากชาติตะวันตก ทำให้ต้องขายน้ำมันในราคาต่ำกว่าราคาตลาด ซึ่งส่งผลกระทบต่อราคาน้ำมันดิบในตลาดโดยตรงอย่างรุนแรง
ราคาน้ำมันดิบในช่วงปลายปี 2023 อาจปรับตัวสูงขึ้นตามความต้องการใช้น้ำมันที่เพิ่มสูงขึ้น
กระนั้นนักวิเคราะห์ก็เชื่อว่า ระดับราคาน่าจะสูงขึ้นเพียงเล็กน้อย แกว่งตัวแคบ ๆ อยู่ในระดับ 80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลต่อเนื่องไปจนถึงต้นปีหน้า ไม่มีทางที่จะถึง 100 ดอลลาร์แน่นอน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 6 กรกฏาคม 2566