ขีดกติกาไฟฟ้าสีเขียวดึง FDI มาตรฐาน REC ไทย ราคาต้องเหมาะสม
หลังจากภาคอุตสาหกรรมจำเป็นต้องปรับตัวแปลงโฉมจากการใช้ไฟฟ้าที่ผลิตจากฟอสซิลมาเป็นพลังงาน "สีเขียว" ให้มากยิ่งขึ้น เพื่อให้สอดรับกับกฎระเบียบการค้าที่นานาประเทศเริ่มบังคับใช้ เริ่มจากสหภาพยุโรปที่เตรียมบังคับใช้ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ นำร่องใน 6 สินค้า คือ คือ เหล็กและเหล็กกล้า อะลูมิเนียม ซีเมนต์ ปุ๋ย ไฟฟ้า ไฮโดรเจน หากปรับตัวได้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและยังช่วยโลกด้วย
ไทยจำเป็นต้องเตรียมจัดหา พลังงานสะอาด หรือ ไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff : UGT) ไว้รองรับความต้องการของนักลงทุน โดยกลไกสำคัญที่จะใช้ “ยืนยัน” ว่าโรงงานหรือผู้ประกอบการรายใดได้ผลิตสินค้าโดยใช้ไฟฟ้าสีเขียวจะมาจาก “การออกใบรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียน” หรือ Renewable Energy Certificate เรียกสั้น ๆ ว่า REC
ซึ่งผู้ประกอบการที่เข้ามาผลิตจะสามารถนำ REC ไปแสดงต่อประเทศปลายทางว่า สินค้าที่มาลงทุนผลิตในประเทศไทยมีการใช้พลังงานสะอาดตั้งแต่กระบวนการผลิตไปจนถึงแหล่งที่มาของไฟฟ้า
นายวัฒนพงษ์ คุโรวาท ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) เล่าถึงนโยบาย REC ของประเทศไทย ว่ามีวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการ คือ การใช้กลไก REC ในการแบ่งเบาภาระต้นทุนของผู้ใช้ไฟฟ้า สำหรับส่งเสริมไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อบรรลุเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ในปี 2608
ต่อมาคือ การพัฒนาให้สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดผู้ใช้ไฟฟ้ากลุ่มที่ต้องการ REC เพื่อการแข่งขันด้านการค้าและการลงทุนของประเทศ และประการสุดท้าย คือ การกำกับดูแลราคา REC ภายในประเทศให้มีเสถียรภาพ เพื่อให้กลไกส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมีลักษณะเป็นการพึ่งกลไกตลาดมากขึ้น
ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลอยู่ระหว่างกำหนดอัตรา UGT โดยใช้โมเดลสหรัฐ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในปี 2566 (ตามกราฟิก) การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (EGAT) เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่รับรอง REC โดยใช้มาตรฐานรับรองการใช้พลังงานหมุนเวียนระดับสากล หรือ I-REC (International Renewable Energy Certificate) จากประเทศเนเธอร์แลนด์มาใช้ในการรับรอง
ไฟฟ้าสีเขียวในแผนพลังงานชาติ :
แต่อย่างไรก็ตาม ในอนาคต สนพ.มองว่า เราต้องดำเนินงานตามกรอบแผนพลังงานชาติที่กำหนดให้ต้องมีการใช้พลังงานสีเขียวในสัดส่วนมากขึ้น
ซึ่งทาง สนพ.อยู่ระหว่างศึกษาแนวทางการกำกับดูแลในอนาคต เพราะผู้ผลิตพลังงานหมุนเวียนจะสามารถผลิตและซื้อขาย โดยผ่านคนกลางได้เอง ทำให้ภาครัฐต้องเข้าไปควบคุมกำกับดูแล โดยเฉพาะในเรื่องราคา รวมถึงวางแผนสร้างมาตรฐานการรับรองของตัวเองเช่นเดียวกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศมาเลเซีย
ทาง สนพ.กำหนดเป้าหมายระยะสั้น ปี 2566-2567 สำหรับนโยบาย REC ว่า ประเทศไทยต้องกำหนดทิศทางเกี่ยวกับการกำกับดูแลราคา REC พร้อมพัฒนาระบบต้นแบบระบบติดตามและกำกับดูแลและดำเนินกิจกรรม REC ในประเทศไทย และการพัฒนามาตรฐาน REC ของประเทศไทย
ส่วนเป้าหมายระยะยาวตั้งแต่ปี 2568 ทาง สนพ.วางแผนไว้ที่จะเริ่มต้นจากการพัฒนาระบบติดตามและกำกับดูแลกิจกรรมดำเนินกิจกรรมของ REC ในประเทศไทยให้มีความสมบูรณ์ควบคู่กับการพัฒนาและประกาศใช้มาตรฐานการรับรอง REC ของประเทศไทย รวมถึงสร้างเสถียรภาพด้านราคาด้วยการส่งเสริมตลาด REC อาทิ Private PPA (P2P) หรือ Utility matching และการประยุกต์ใช้มาตรการภาคบังคับหรือภาคสมัครใจเพิ่มเติม
ตลอดจนปรับปรุงแนวทางการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน โดยแยกส่วนผลตอบแทนจาก REC (Unbundle REC) ออกจากราคารับซื้อไฟฟ้าและอาศัยกลไกตลาดในการชดเชยผลตอบแทนดังกล่าวกับผู้ผลิตไฟฟ้าแทน
ที่มา ประชาชาติธุรกิจ
วันที่ 9 กรกฏาคม 2566