นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า โครงการ Big Brother เป็นหนึ่งในโครงการของหอการค้าไทยที่ได้ให้ความสำคัญในแนวทางการช่วยเหลือแบบพี่ช่วยน้อง โดยมีบริษัทขนาดใหญ่เข้ามาเป็นพี่เลี้ยงคอยแนะนำการดำเนินกิจการกับบริษัทน้อง ซึ่งได้พิสูจน์มาแล้ว ทั้ง 7 Season ได้เห็นพัฒนาการของบริษัทน้องเลี้ยง จากกิจกรรมต่างๆ ในโครงการฯ และจากการบ่มเพาะอย่างตั้งใจ 

 

จากบริษัทพี่เลี้ยงที่มีความพยายามในการถ่ายทอดองค์ความรู้ และประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจจากบริษัทขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ช่วยให้ธุรกิจของบริษัทน้องเลี้ยง สามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างเข้มแข็ง

 

“โครงการ Big Brother เป็นหนึ่งในโครงการที่นำแนวคิดในการขับเคลื่อนวาระ 90 ปีหอการค้าไทย Connect.Competitive.Sustainable มาปฏิบัติครบทั้ง 3 แนวทาง โดยการ  

 

Connect : เชื่อมโยงพี่เลี้ยงทั้งภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อมโยงบริษัทขนาดใหญ่และบริษัทขนาดเล็ก เป็นเครือข่ายมาช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ,  

 

 

Competitive : เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับ SMEs ผ่านกระบวนการ Coaching / Mentoring แบบตัวต่อตัว ถ่ายทอดองค์ความรู้ และช่วยแนะนำแนวทางการดำเนินธุรกิจ จากประสบการณ์ของบริษัทขนาดใหญ่ และ 

 

Sustainable : เน้นการนำแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อม ที่ SMEs สามารถจับต้องได้ นำไปใช้ได้จริง มาประยุคใช้ เพื่อเพิ่มโอกาสทางการค้าในอนาคต

 

จะเห็นได้ว่าบริษัทน้องโครงการ Big Brother ได้รับการพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันจากการถ่ายทอดประสบการณ์ รวมไปถึงการช่วยวางแผนการดำเนินงานในอนาคต อีกทั้งยังผลักดันให้มีความตระหนักในด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายอย่างยิ่งต่อการดำเนินธุรกิจของ SMEs ไทย ส่งเสริมภาคเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมมุ่งไปสู่ Net Zero emissions ต่อไป” นายสนั่น กล่าว

 

นายพลิษศร์ ภิรมย์ภักดี รองประธานกรรมการหอการค้าไทย และประธานคณะกรรมการเพิ่มความเข้มแข็งให้สมาชิก กล่าวว่า ผลสำเร็จของโครงการ Big Brother (Season 7) จากจำนวนบริษัทน้องเลี้ยงที่เข้าร่วมโครงการฯ จำนวน 54 ราย พบว่า ได้รับผลลัพธ์ที่สามารถประเมินเป็นมูลค่า หลังจากผ่านการเข้าร่วมโครงการในระยะเวลา 1 ปี ดังนี้

 

1)รายได้และกำไรที่เพิ่มขึ้น : ผู้ประกอบการจำนวน 30 ราย (คิดเป็นร้อยละ 55.56) มีรายได้ที่เพิ่มขึ้น หมายถึงมียอดขายหรือกำไรที่เพิ่มขึ้น รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายหรือต้นทุนที่ลดลง

 

2)ประสิทธิภาพในการทำงานที่ดีขึ้น : ผู้ประกอบการจำนวน 15 ราย (คิดเป็นร้อยละ 27.78) มีประสิทธิภาพในการทำงานหลังบ้านดีขึ้น เช่น การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต การบริหารจัดการ ทั้งทางด้านการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ การบริหารจัดการสินค้าคงคลัง การจัดทำ Business Model และแผนงานในด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นประโยชน์ในการดำเนินกิจการของบริษัท

 

3)ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย : ผู้ประกอบการทั้ง 54 ราย ได้รับการพัฒนาในด้านการขยายช่องทางการตลาด การพัฒนาผลิตภัณฑ์และแบรนด์ โดยการให้คำแนะนำและประสานงานเพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายและเจรจาขายสินค้าผ่านร้านค้าสมัยใหม่ (Modern Trade) (อาทิ 7-11, Lotus’s) ร้านค้าปลีกขนาดใหญ่ หรือ Premium Supermarket (อาทิ ไอคอนสยาม สยามพารากอน เดอะมอลล์) และการขายผ่านช่องทางออนไลน์ (อาทิ All Online) รวมไปถึงการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศ เช่น จีน (ผ่าน CP Group) เกาหลี ฮ่องกง ญี่ปุ่น

 

ทั้งนี้ จากผลลัพธ์ดังกล่าว ถือได้ว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ โดยศูนย์เอสเอ็มอี มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ประมาณการมูลค่าทางเศรษฐกิจ ภายในระยะเวลา 1 ปี ที่ผู้ประกอบการได้รับจากการเข้าร่วมโครงการฯ รวมทั้งสิ้น 961.72 ล้านบาท โดยอัตราเพิ่มขึ้นของมูลค่าเฉลี่ยอยู่ที่ร้อยละ 25 ซึ่งเป็นอัตราเติบโตที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของธุรกิจ SMEs ไทย

 

“สำหรับโครงการ Big Brother ใน Season ถัดไป (Season 8) หอการค้าไทยตั้งเป้าในการพัฒนา SMEs เพิ่มจำนวนบริษัทน้องจาก 50 บริษัท เป็น 75 บริษัท ถือเป็นการร่วมมือกันด้วยกระบวนการ“พี่ช่วยน้อง” ของบริษัทชั้นนำของประเทศ จะแสวงหาพันธมิตรที่เป็นบริษัทขนาดใหญ่มาเป็นพี่เลี้ยง เพื่อเพิ่มเติมองค์ความรู้ในมิติต่างๆ มากขึ้น

 

อีกทั้ง ยังมุ่งเน้นเนื้อหาที่เข้มข้น ในการสร้างความยั่งยืนให้กับผู้ประกอบการไทย ตามแนวคิด Sustainability For Inclusive Growth พร้อมด้วยกิจกรรมตามแผนงานโครงการฯ จะเป็นลักษณะ Hybrid คือ ผสมผสานระหว่างการทำกิจกรรมร่วมกันในรูปแบบ On-site และ Online โดยใช้ระยะเวลาประมาณ 8 เดือน ในการบ่มเพาะบริษัทน้อง ซึ่งตั้งแต่วันนี้ โครงการ Big Brother (Season 8) ได้เปิดรับสมัครเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จนถึงวันที่ 29 กุมภาพันธ์ 2567 นี้ หากท่านใดสนใจสามารถสมัครได้ตามช่องทางต่างๆของหอการค้าไทย” นายพลิษศร์ กล่าว

 

ที่มา มติชนออนไลน์

วันที่ 12 มกราคม 2567